วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2554

นิทานชาดก ในพระไตรปิฎก

หมูเจ้าสำราญ



*****

                                    น้องอย่าริษยาหมูมุณิกะเลย

                                    มันกินอาหาร

                                    อันเป็นเหตุให้มันต้องเดือดร้อน

                                    น้องจงพอใจกินข้าวลีบนั้นเถิด

                                    เพราะมันจะทำให้น้องอายุยืน

                                                     ****


 กาลครั้งหนึ่ง สมัยก่อนพุทธกาล ณ เมืองพาราณสี แคว้นกาสี ตรงกับรัชสมัยพระเจ้้าพรหมทัต ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีชายเศรษฐีคนหนึ่ง เลี้ยงวัวไว้ใช้งานสองตัวกับหมูเจ้าสำราญตัวหนึ่งชื่อ "มุณิกะ" 

            ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าของเราเกิดเป็นวัวชื่อ "มหาโลหิตะ" พระอานนท์เกิดเป็นวัวชื่อ "จูฬโลหิตะ"

            วัวมหาโลหิตะกับวัวจูฬโลหิตะ ต่างก็เป็นพี่น้องกัน วัวมหาโลหิตะเป็นพี่ วัวจูฬโลหิตะเป็นน้อง วัวทั้งสองมีเจ้าของเป็นคนเดียวกันกับหมูมุณิกะ

            วัวกับหมูแม้จะอยู่กับเจ้าของคนเดียวกัน แต่ความเป็นอยู่นั้นแตกต่างกันมาก วัวมหาโลหิตะกับวัวจูฬโลหิตะถูกใช้ให้ทำงานหนักกลางแดดกลางฝนเกือบทั้งวัน เวลาถึงคราวกินก็ได้กินแต่ข้าวลีบ ส่วนหมูมุณิกะไม่ต้องทำงานหนักนอนพลิกไปพลิกมาอยู่ตามใต้ถุนบ้าน หรือไม่ก็ออกไปหากินนอกบ้านตามสบาย ถึงเวลาอาหารที่บ้านก็ได้กินอาหารดีดี

            ในวันหนึ่ง ขณะวัวทั้งสองกำลังพักผ่อนอยู่ วัวจูฬโลหิตะผู้น้อง พูดขึ้นว่า

            "พี่มหาโลหิตะ น่าอิจฉาเพื่อนมุณิกะนะ ขณะที่เราทั้งสองต้องทำงานหนัก แต่เขากลับสบาย"

            "อย่าอิจฉาเขาเลยน้องจูฬโลหิตะ เรากับเขาเกิดต่างเผ่าพันธ์กัน เราเกิดมาเพื่อทำงานหนัก แต่เขาเกิดมาเพื่อกินแล้วก็นอน อย่าคิดอะไรเลย ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดดีกว่า"

            วัวทั้งสองพี่น้องมักคุยกันอย่างนี้อยู่เสมอ ซึ่งฝ่ายที่เริ่มต้นคุยก่อนมักเป็นวัวจูฬโลหิตะ ทั้งนี้เป็นเพราะเห็นหมูมุณิกะแล้วอดนำมาคิดเปรียบเทียบไม่ได้ วัวมหาโลหิตะเข้าใจความรู้สึกของวัวน้องชายได้ดีจึงคอยปลอบอยู่ตลอดเวลา

            เจ้าของวัวกับหมูมีฐานะความเป็นอยู่ถึงขั้นเศรษฐี ส่วนภรรยาของเขาได้คอยปรนนิบัติรับใช้ตามหน้าที่ของภรรยาที่ดี

            สองสามีภรรยามีลูกสาวอยู่คนหนึ่ง รูปร่างสวยงาม อายุเพิ่งรุ่นสาว ได้รับการอบรมเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดี ขยันขันแข็งช่วยทำงานบ้านงานเรือนมิได้ขาด เป็นที่รักไคร่ของพ่อแม่มาก แม้แต่คนในหมู่บ้านที่ได้รู้เห็น ยังกล่าวสรรเสริญถึงความดีงามของลูกสาวเศรษฐีอยู่เสมอๆ

            อยู่มาวันหนึ่งมีเศรษฐีอีกตระกูลหนึ่งได้ยินข่าวร่ำลือของนาง ต้องการอยากได้นางมาเป็นลูกสะใภ้ จึงเดินทางมาสู่ขอนางให้กับลูกชายของตน

            "เพื่อน ตระกูลของเราก็ทัดเทียมกัน ท่านเป็นเศรษฐี ข้าพเจ้าก็เป็นเศรษฐี ท่านมีลูกสาว ข้าพเจ้ามีลูกชาย หากตระกูลของเราทั้งสอง ได้เกี่ยวดองกัน เราจะยิ่งใหญ่ไม่แพ้ใครนะ" เศรษฐีจากต่างตระกูลเปิดฉากเจรจา

            "เราสองคนเป็นผู้ใหญ่อาจจะมองว่าดีแต่ในแงของเรา แต่ไม่รู้ว่าเด็กๆ เขาจะคิดกันยังไง" เศรษฐีลูกสาวสวยแบ่งรับแบ่งสู้

            "ลูกสาวท่านคิดยังไงไม่รู้ แต่ลูกชายข้าพเจ้าแอบรักลูกสาวท่านมานานแล้ว ที่มาวันนี้ก็จะมาขอลูกสาวท่านให้ลูกชายข้าพเจ้า"

            "ข้าพเจ้าคิดว่าควรจะให้เด็กได้รู้จักกันให้มากกว่านี้ ไม่ดีหรือ"

            "โฮ่ย... เขารู้จักกันมามากพอแล้ว เห็นกันมาตั้งแต่เล็ก เราเองก็ไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ ไม่ใช่คนแปลกหน้าที่ไหน ถึงจะมาดูใจกันอีก"

            เศรษฐีลูกสาวสวย เมื่อเห็นเศรษฐีจากต่างตระกูลรุกหนักและไม่ทราบว่าจะตัดสินใจอย่างไร จึงบอกให้คนรับใช้เรียกลูกสาวมาหา

            "ลูกพ่อ ลุงเศรษฐีมาขอลูกให้แต่งงานกับลูกชายเขา ลูกจะว่ายังไง" เศรษฐีบอกลูกสาวพลางมองดูหน้าหล่อน

            "คุณพ่อ" ลูกสาวเศรษฐีพูดกับบิดา "หนูเป็นสมบัติของคุณพ่อ แล้วแต่คุณพ่อจะตัดสินใจ หนูทำตามคุณพ่อได้ทุกอย่าง"

            เศรษฐีลูกสาวสวยยิ้มที่มุมปากหลังจากได้ยินลูกสาวให้โอกาสตนเช่นนั้น เขามองหน้าลูกสาวแล้วหันมาทางเศรษฐีจากต่างตระกูลพร้อมกับพูดว่า

            "ท่านเศรษฐี เมื่อลูกสาวให้ข้าพเจ้าตัดสินใจ ข้าพเจ้าก็ยินดียกเธอให้แก่ลูกชายท่านตามที่ท่านขอ"

            เศรษฐีจากต่างตระกูลดีใจมากที่ขอลูกสาวเศรษฐีให้ลูกชายได้สำเร็จ เขาจับมือเศรษฐีนั้นไว้แน่นพลางกล่าวขอบคุณและให็สัญญาว่าจะไม่ทำให้ผิดหวัง

            จากนั้น เศรษฐีทั้งสองก็ตกลงหมั้นหมายกันและกำหนดวันแต่งงานไว้เสร็จสรรพ ครั้นแล้วเศรษฐีจากต่างตระกูลก็ลากลับไป

            ฝ่ายเศรษฐีลูกสาวสวย ครั้นเศรษฐีจากต่างตระกูลกลับไปแล้วก็เรียกภรรยามาปรึกษาหารือกัน ถึงเรื่องการจัดงานแต่งงานให้สมกับฐานะของตน

            "วันแต่งงานของลูกสาวเรา ซึ่งจะมีขึ้นในอีกสองเดือนข้างหน้าจะมีคนมาเยอะ ควรที่จะต้องจัดหาอาหารอย่างดีมาเลี้ยงรับรองแขกเหรื่อที่มาในงาน"

            เศรษฐีผู้สามีกล่าวกับภรรยา "ดังนั้นพี่ขอมอบงานด้านการจัดทำอาหารให้น้องดูแล"

            "แล้วเราจะทำอาหารอะไรเลี้ยงเขาดีล่ะ"

            "น้องว่าทำแกงมัสมั่นหมูเลี้ยงคงจะดี" ภรรยาเสนอแนะ

            "พี่ว่าเข้าท่าดีเหมือนกัน" เศรษฐีเห็นด้วย

            เมื่อตกลงกันเช่นนั้นแล้ว สองสามีภรรยาก็ช่วยกันเลี้ยงหมูให้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน โดยให้กินอาหารชนิดซึ่งเมื่อกินแล้วจะทำให้ได้เนื้อขึ้น หมูมุณิกะเองก็นึกกระหยิ่มอยู่ในใจที่ได้กินอาหารชนิดดี โดยที่ตัวเองหารู้ไม่ว่าจะถูกฆ่าเอาเนื้ออยู่อีกไม่นานแล้ว

            "พี่มหาโลหิตะ เวลานี้สังเกตเห็นหมูมุณิกะไหม เดี๋ยวนี้ อ้วนพีขึ้นเรื่อยๆ แต่ละมื๊อเห็นกินอาหารดีๆ" วัวจูฬโลหิตะฟ้องมหาโลกหิตะ

            "จูฬโลหิตะน้องรัก..." วัวมหาโลหิตะปลอบวัวจูฬโลหิตะ "น้องอย่าริษยาหมูมุณิกะเลย เพราะขณะนี้เขากำลังกินอาหารที่เป็นเหตุให้ตัวเองต้องตาย พี่อยากให้น้องพอใจในสิ่งที่เป็นอยู่ในเวลานี้เถิด เราได้กินข้าวลีบกันเป็นประจำมันก็ดีแล้ว เพราะมันจะทำให้น้องอายุยืน"

            วัวจูฬโลหิตะไม่เข้าใจความหมายที่วัวมหาโลหิตะบอกนัก แต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้ถาม เพราะเคารพในพี่ชายนั่นเอง แต่หลังจากนั้นมาใกล้ถึงวันงาน วัวจูฬโลหิตะก็เข้าใจ เพราะได้เห็นคนฆ่าหมูมาจับหมูมุณิกะไปฆ่า แล้วชำแหละเอาเนื้อไปปรุงอาหารเลี้ยงแขกที่มางานวันแต่งงานของลูกสาวเศรษฐี

            "พี่มหาโลหิตะ น่าสงสารหมูมุณิกะจังเลยนะ อยู่ดีดี ก็ถูกเขาจับฆ่ากิน" วัวจูฬโลหิตะปรารถกับวัวมหาโลหิตะ

            "น้องรัก..." วัวมหาโลหิตะเอ่ยขึ้น "น้องเข้าใจตามที่พี่บอกแล้วใช่ไหม เศรษฐีเลี้ยงหมูมุณิกะจนอ้วนก็เพราะต้องการเนื้อ ดังนั้นอาหารที่หมูมุณิกะกินเข้าไปเท่ากับไปช่วยเร่งให้ตัวเองอายุสั้น"

            "เข้าใจแล้วพี่มหาโลหิตะ" วัวจูฬโลหิตะรับคำก่อนที่จะก้มหน้ากินข้าวลีบ หญ้าแห้ง และฟางแห้งอย่างที่เคยกินมาต่อไป

                        อย่าหลงระเริงอยู่กับความสุขสบายที่ได้รับจนเกินไป เพราะความสุขสบายนั้น อาจนำภัยพิบัติมาให้ได้



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น