วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554

หน้า 116

1.     ความกระตือรือร้น คือ ความสนใจอย่างแรงกล้าและความพยายามอย่างจริงใจที่
จะทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นคุณลักษณะที่สำคัญที่จะทำให้ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
ในกิจการที่ทำคนที่ไม่ประสบผลสำเร็จในอาชีพการงาน ส่วนมากเป็นเพราะขาดความ          
กระตือรือร้นนั่นเอง
2.     ความซื่อสัตย์ คือ ความจริงใจต่อผู้ที่เกี่ยวข้องด้วย ความซื่อสัตย์ช่วยให้ได้รับ
ความเชื่อถือและความไว้วางใจ
3.     ความสุภาพ เป็นบ่อเกิดของมิตรภาพที่แท้จริงและถาวร เป็นที่มาของความร่วมมือ
ร่วมใจอย่างจริงใจ เพราะความสุภาพแสดงถึงความเป็นคนมีวัฒนธรรม ย่อมไม่กล่าวร้ายหรือ
นินทาผู้อื่นลับหลังและยังแสดงถึงความเป็นคนที่ได้รับการฝึกอบรมมาอย่างดี
4.     ความร่าเริงและความร่วมมือ ความสนุกสนานร่าเริงเป็นความสุขสบายสำหรับผู้ที่
พบเห็นและเกี่ยวข้อง ทำให้รู้สึกมีความเป็นกันเอง คุ้นเคยสนิทสนม ให้ความร่วมมือร่วมใจ
ทำกิจกรรมด้วยความเต็มใจ แม้คนที่แปลกหน้าความรู้สึกไม่คุ้นเคยไม่รู้จักก็จะหมดไป
5.     ความแนบเนียน คือ การพูด การกระทำที่เหมาะสมกับเวลา หรือ กาลเทศะ
6.     ความสนใจอย่างแท้จริงต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง
6.1 เป็นกันเอง
6.2 เรียนรู้และเอ่ยชื่อได้อย่างถูกต้อง
6.3 กล่าวคำขอบคุณเมื่อได้รับประโยชน์
6.4 ตั้งใจฟัง
6.5 หลีกเลียงกานถกเถียง
6.6 จับความคิดของผู้อื่นให้ได้
6.7 พูดคุยแต่เรื่องที่ผู้อื่นสนใจ
6.8 แสดงว่าเรายินดีที่ได้พบ
            7.  ความยับยั้งชั่งใจ เป็นคุณสมบัติที่ช่วยให้ข่มอารมณ์และระงับความรู้สึกต่าง ๆ ได้
ช่วยให้เงียบสงบและเผชิญกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ คนที่ระงับอารมณ์ไม่ได้ อาจชนะแต่ใน
เรื่องการถกเถียงเท่านั้น แต่จะต้องสูญเสียมิตรภาพไปอย่างน่าเสียดาย
            8.ความจริงใจ ทำให้เกิดความประทับใจ ให้ความร่วมมือ เกิดความเป็นเพื่อน และ
อาจได้รับคำแนะนำที่ดีอีกด้วย

วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2554

มงคล ๓๘ ประการ

มงคล ๓๘ ประการ

ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของฉัน 
นักสร้างสื่อแบบมัลติมีเดีย
๑. การไม่คบคนพาล
๒. การคบบัญฑิต
๓. การบูชาบุคคลที่ควรบูชา
๔. การอยู่ในถิ่นอันสมควร
๕. เคยทำบุญมาก่อน
๖. การตั้งตนชอบ
๗. ความเป็นพหูสูต
๘. การรอบรู้ในศิลปะ
๙. มีวินัยที่ดี
๑๐.กล่าววาจาอันเป็นสุภาษิต
๑๑.การบำรุงบิดามารดา
๑๔.ทำงานไม่ให้คั่งค้าง
๑๕.การให้ทาน
๑๖.การประพฤติธรรม
๑๗.การสงเคราะห์ญาติ
๑๘.ทำงานที่ไม่มีโทษ
๑๙.ละเว้นจากบาป
๒๐.สำรวมจากการดื่มน้ำเมา
๒๑.ไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย
๒๒.มีความเคารพ
๒๓.มีความถ่อมตน
๒๔.มีความสันโดษ
๒๕.มีความกตัญญู
๒๖.การฟังธรรมตามกาล
๒๗.มีความอดทน
๒๘.เป็นผู้ว่าง่าย
๒๙.การได้เห็นสมณะ
๓๐.การสนทนาธรรมตามกาล
๓๑.การบำเพ็ญตบะ
๓๒.การประพฤติพรหมจรรย์
๓๓.การเห็นอริยสัจ
๓๕.มีจิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรม
๓๖.มีจิตไม่เศร้าโศก
๓๗.มีจิตปราศจากกิเลส
๓๘.มีจิตเกษม

ที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของฉัน 
นักสร้างสื่อแบบมัลติมีเดีย
๑๒.การสงเคราะห์บุตร
๑๓.การสงเคราะห์ภรรยา 
๒๔.มีความสันโดษ 

พหูสูต

พหูสูต หมายถึง “ความเป็นผู้ฉลาดรู้” คือผู้ที่รู้จักเลือกในสิ่งที่ควรรู้ เป็นผู้ที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมามาก ได้ยินได้ฟังมามาก และเป็นคนช่างสังเกต ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้เป็นต้นทางแห่งปัญญา ทำให้เกิดความรู้สำหรับบริหารงานชีวิตและเป็นกุญแจไขไปสู่ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข และทุกสิ่งที่ เราปรารถนา


ลักษณะของพหูสูต คือ
๑. รู้ลึก หมายถึง รู้เรื่องราวไปหาเหตุในอดีต ลึกซึ้งถึงความเป็นมา เช่น แพทย์เมื่อเห็นอาการก็สามารถรู้ว่าเป็นโรคอะไรรู้ไปถึว่าที่เป็นโรคนี้เพราะเหตุใด หรือช่างเมื่องเห็นอาการเครื่องยนต์ที่เสียก็สามารถบอกได้ทันทีว่าเครื่องนั้นเสียที่ไหน เป็นเพราะอะไร เป็นต้น
๒. รู้รอบ หมายถึง ช่างสังเกต รู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัว  สภาพภูมิประเทศดินฟ้าอากาศ ผู้คนในชุมชน ความเป็นไปของเหตุการณ์ต่าง ๆ รอบตัว สภาพภูมิประเทศ ดินฟ้าอากาศ ผู้คนในชุมชน ความเป็นไปของเหตุการณ์ต่าง ๆ รอบตัว สิ่งที่ควรรู้ต้องรู้
๓. รู้กว้าง หมายถึง สิ่งรอบตัว แต่ละอย่างที่รู้ก็รู้อย่างละเอียดรู้ถึงความเกี่ยวพันของสิ่งนั้นกบสิ่งอื่น ๆ ด้วย คล้ายรู้รอบแต่เก็บรายละเอียดมากขึ้น
๔. รู้ไกล หมายถึง มองการณ์ไกล รู้ถึงผลที่จะตามมาในอนาคต เช่น เห็นสภาพดินฟ้าอากาศก็รู้ทันทีว่าปีนี้พืชผลชนิดใดจะขาดแคลน เห็นพฤติการณ์ ของผู้ร่วมงานไม่น่าไว้วางใจก็รู้ทันทีว่า เขากำลังจะคิดไม่ซื่อ เห็นตนเองเริ่มย่อหย่อนต่อการปฏิบัติธรรมก็รู้ทันทีว่าถ้าทิ้งไว้เช่นนี้ต่อไปตนก็จะเสื่อมจากกุศลธรรม ฯลฯ
 ผู้ที่ประกอบด้วยความรู้ ๔ ประการนี้ ทั้งทางโลกและทางธรรมจึงจะเป็นพหูสูตที่แท้จริง




คุณสมบัติของพหูสูต หรือนักเรียน นักศึกษาที่ดี
    ๑.พหุสฺสุตา ความตั้งใจฟัง คือมีนิสัยชอบฟัง ชอบอ่าน ชอบค้นคว้า ยึดหลัก “เรียนจากครู ดูจากตำรับ สดับปาฐะ”
    ๒.ธตา ความตั้งใจจำ คือมีความจำดี รู้จักจับสาระสำคัญ จับหลักให้ได้ แล้วจำได้แม่นยำ คนที่ความจำไม่ดี เพราะภพในอดีตชอบพูดปด ดื่มสุรามาก ฯลฯ ดังนั้น ถ้าในชาตินี้เลิกดื่มสุรา เลิกพูดปดและพยายามบ่อย ๆ หมั่นจดหมั่นเขียนบ่อย ๆ ไม่ช้าก็จะเป็นผู้มีความจำดี
    ๓.วจสา ปริจิตา ความตั้งใจท่อง คือต้องฝึกท่องให้คล่องปากท่องจนขึ้นใจ จำได้คล่องแคล่วจัดเจน ไม่ต้องพลิกตำรา โดยเฉพาะพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นความจริงแท้แน่นอน ไม่เปลี่ยนแปลง ควรท่องไว้ให้ขึ้นใจทุกข้อกระทงความให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ส่วนวิชาการทางโลกยังมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ เพราะยังไม่มีใครรู้จริง จึงควรท่องเฉพาะที่สำคัญ และหมั่นคิดหาเหตุผลด้วย
    ๔.มนสานุเปกขา ความตั้งใจขบคิด คือใส่ใจนึกคิด ตรึกตรองสาวเหตุสาวผลให้เข้าใจตลอด พิจารณาให้เจนจบ นึกถึงครั้งใดก็เข้าใจปรุโปร่งหมด
    ๕.ทิฏฐิยา สุปฏิวิทฺธา ความแทงตลอดด้วยปัญญา คือเข้าใจแจ่มแจ้งทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ ความรู้กับใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อย่างไรก็ตามตราบใดที่ยังไม่ได้ฝึกสมาธิอย่างจริงจังคุณสมบัติข้อนี้ จะเกิดไม่เต็มที่

 ลักษณะผู้ที่เป็นพหูสูตไม่ได้
๑.คนราคจริต คือ คนขี้โอ่ บ้ายอ เจ้าแง่แสนงอน รักสวยรักงาม พิถีพิถันจนเกินเหตุ มัวแต่งอน มัวแต่แต่งตัวจนไม่มีเวลาท่องบ่น ค้นคว้าหาความรู้ พวกนี้แก้โดยให้หมั่นนึกถึงความตาย พิจารณาซากศพอสุภะเนือง ๆ
๒.คนโทสจริต คือ คนขี้โมโห ฉุนเฉียว โกรธง่าย ผูกพยาบาทมากมัวแต่คิดโกรธแค้นจนไม่มีเวลาไตร่ตอง พวกนี้แต้โดยให้หมั่นรักษาศีลและแผ่เมตตาเป็นประจำ
๓.คนโมหจริต คือ คนสะเพร่า ขี้ลืม มักง่าย ทำอะไรไม่พยายามเอาดีสักแต่ให้เสร็จ สติไม่มั่นคง ใจกระด้างในการกุศล สงสัยในพระรัตนตรัยว่ามีคุณจริงหรือไม่ พวกนี้แก้โดยให้หมั่นฝึกสมาธิอย่างสม่ำเสมอ
๔.คนขี้ขลาด คือ พวกขาดความเชื้อมั่นในตนเอง ไม่กล้าลงมือทำอะไร กลัวถูกติ คอยแต่จะเป็นผู้ตาม ไม่มีความคิดริเริ่ม พวกนี้แก้โดยให้คบกับคนมาตรฐาน คือ คบบัณฑิต จะอ่าน จะทำอะไรก็ให้จับให้ทำแต่สิ่งที่เป็นมาตรฐานไม่สักแต่ว่าทำ
๕.คนหนักในอามิส คือ พวกบ้าสมบัติ ตีค่าทรัพย์ว่ามากกว่าความรู้ทำให้ไม่ขวนขวายในการแสวงหาปัญญาเท่าที่ควร
๖.คนจับจด คือ พวกทำอะไรเหยาะแหยะไม่เอาจริง
๗.นักเลงสุรา คือพวกขี้เมา ขาดสติ หมดหนทางที่จะเรียนรู้
๘.คนที่มีนิสัยเหมือนเด็ก คือ พวกชอบเอิกเกริกสนุกเฮฮาจนเกินเหตุ ไม่มีความรับผิดชอบ

วิธีฝึกตนเองให้เป็นพหูสูต
๑. ฉลาดเลือกเรียนแต่สิ่งที่ควร
๒. ตั้งใจเรียนวิชาที่ตนเลือกอย่างเต็มความสามารถ
๓. มีความกระตือรือร้นที่จะศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ
๔. เมื่อเรียนแล้วก็จำไว้เป็นอย่างดี 

๕.พร้อมจะนำความรู้ที่ได้ไปใช้ได้ทันที




http://www1.freehostingguru.com/thaigenx/mongkhol/mk07.htm

อิทธิบาท 4

คำว่า อิทธิบาท แปลว่า บาทฐานแห่งความสำเร็จ หมายถึง สิ่งซึ่งมีคุณธรรม เครื่องให้ลุถึงความสำเร็จตามที่ตนประสงค์ ผู้หวังความสำเร็จในสิ่งใด ต้องทำตนให้สมบูรณ์ ด้วยสิ่งที่เรียกว่า อิทธิบาท ซึ่งจำแนกไว้เป็น ๔ คือ
๑. ฉันทะ ความพอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น
๒. วิริยะ ความพากเพียรในสิ่งนั้น
๓. จิตตะ ความเอาใจใส่ฝักใฝ่ในสิ่งนั้น
๔. วิมังสา ความหมั่นสอดส่องในเหตุผลของสิ่งนั้น
ธรรม ๔ อย่างนี้ ย่อมเนื่องกัน แต่ละอย่างๆ มีหน้าที่เฉพาะของตน
ฉันทะ คือความพอใจ ในฐานะเป็นสิ่งที่ ตนถือว่า ดีที่สุด ที่มนุษย์เรา ควรจะได้ ข้อนี้ เป็นกำลังใจ อันแรก ที่ทำให้เกิด คุณธรรม ข้อต่อไป ทุกข้อ
วิริยะ คือความพากเพียร หมายถึง การการะทำที่ติดต่อ ไม่ขาดตอน เป็นระยะยาว จนประสบ ความสำเร็จ คำนี้ มีความหมายของ ความกล้าหาญ เจืออยู่ด้วย ส่วนหนึ่ง
จิตตะ หมายถึงความไม่ทอดทิ้ง สิ่งนั้น ไปจากความรู้สึก ของตัว ทำสิ่งซึ่งเป็น วัตถุประสงค์ นั้นให้เด่นชัด อยู่ในใจเสมอ คำนี้ รวมความหมาย ของคำว่า สมาธิ อยู่ด้วยอย่างเต็มที่
วิมังสา หมายถึงความสอดส่องใน เหตุและผล แห่งความสำเร็จ เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ ให้ลึกซึ้งยิ่งๆ ขึ้นไปตลอดเวลา คำนี้ รวมความหมาย ของคำว่า ปัญญา ไว้อย่างเต็มที่

วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2554

นิทานชาดก ในพระไตรปิฎก

หมูเจ้าสำราญ



*****

                                    น้องอย่าริษยาหมูมุณิกะเลย

                                    มันกินอาหาร

                                    อันเป็นเหตุให้มันต้องเดือดร้อน

                                    น้องจงพอใจกินข้าวลีบนั้นเถิด

                                    เพราะมันจะทำให้น้องอายุยืน

                                                     ****


 กาลครั้งหนึ่ง สมัยก่อนพุทธกาล ณ เมืองพาราณสี แคว้นกาสี ตรงกับรัชสมัยพระเจ้้าพรหมทัต ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีชายเศรษฐีคนหนึ่ง เลี้ยงวัวไว้ใช้งานสองตัวกับหมูเจ้าสำราญตัวหนึ่งชื่อ "มุณิกะ" 

            ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าของเราเกิดเป็นวัวชื่อ "มหาโลหิตะ" พระอานนท์เกิดเป็นวัวชื่อ "จูฬโลหิตะ"

            วัวมหาโลหิตะกับวัวจูฬโลหิตะ ต่างก็เป็นพี่น้องกัน วัวมหาโลหิตะเป็นพี่ วัวจูฬโลหิตะเป็นน้อง วัวทั้งสองมีเจ้าของเป็นคนเดียวกันกับหมูมุณิกะ

            วัวกับหมูแม้จะอยู่กับเจ้าของคนเดียวกัน แต่ความเป็นอยู่นั้นแตกต่างกันมาก วัวมหาโลหิตะกับวัวจูฬโลหิตะถูกใช้ให้ทำงานหนักกลางแดดกลางฝนเกือบทั้งวัน เวลาถึงคราวกินก็ได้กินแต่ข้าวลีบ ส่วนหมูมุณิกะไม่ต้องทำงานหนักนอนพลิกไปพลิกมาอยู่ตามใต้ถุนบ้าน หรือไม่ก็ออกไปหากินนอกบ้านตามสบาย ถึงเวลาอาหารที่บ้านก็ได้กินอาหารดีดี

            ในวันหนึ่ง ขณะวัวทั้งสองกำลังพักผ่อนอยู่ วัวจูฬโลหิตะผู้น้อง พูดขึ้นว่า

            "พี่มหาโลหิตะ น่าอิจฉาเพื่อนมุณิกะนะ ขณะที่เราทั้งสองต้องทำงานหนัก แต่เขากลับสบาย"

            "อย่าอิจฉาเขาเลยน้องจูฬโลหิตะ เรากับเขาเกิดต่างเผ่าพันธ์กัน เราเกิดมาเพื่อทำงานหนัก แต่เขาเกิดมาเพื่อกินแล้วก็นอน อย่าคิดอะไรเลย ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดดีกว่า"

            วัวทั้งสองพี่น้องมักคุยกันอย่างนี้อยู่เสมอ ซึ่งฝ่ายที่เริ่มต้นคุยก่อนมักเป็นวัวจูฬโลหิตะ ทั้งนี้เป็นเพราะเห็นหมูมุณิกะแล้วอดนำมาคิดเปรียบเทียบไม่ได้ วัวมหาโลหิตะเข้าใจความรู้สึกของวัวน้องชายได้ดีจึงคอยปลอบอยู่ตลอดเวลา

            เจ้าของวัวกับหมูมีฐานะความเป็นอยู่ถึงขั้นเศรษฐี ส่วนภรรยาของเขาได้คอยปรนนิบัติรับใช้ตามหน้าที่ของภรรยาที่ดี

            สองสามีภรรยามีลูกสาวอยู่คนหนึ่ง รูปร่างสวยงาม อายุเพิ่งรุ่นสาว ได้รับการอบรมเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดี ขยันขันแข็งช่วยทำงานบ้านงานเรือนมิได้ขาด เป็นที่รักไคร่ของพ่อแม่มาก แม้แต่คนในหมู่บ้านที่ได้รู้เห็น ยังกล่าวสรรเสริญถึงความดีงามของลูกสาวเศรษฐีอยู่เสมอๆ

            อยู่มาวันหนึ่งมีเศรษฐีอีกตระกูลหนึ่งได้ยินข่าวร่ำลือของนาง ต้องการอยากได้นางมาเป็นลูกสะใภ้ จึงเดินทางมาสู่ขอนางให้กับลูกชายของตน

            "เพื่อน ตระกูลของเราก็ทัดเทียมกัน ท่านเป็นเศรษฐี ข้าพเจ้าก็เป็นเศรษฐี ท่านมีลูกสาว ข้าพเจ้ามีลูกชาย หากตระกูลของเราทั้งสอง ได้เกี่ยวดองกัน เราจะยิ่งใหญ่ไม่แพ้ใครนะ" เศรษฐีจากต่างตระกูลเปิดฉากเจรจา

            "เราสองคนเป็นผู้ใหญ่อาจจะมองว่าดีแต่ในแงของเรา แต่ไม่รู้ว่าเด็กๆ เขาจะคิดกันยังไง" เศรษฐีลูกสาวสวยแบ่งรับแบ่งสู้

            "ลูกสาวท่านคิดยังไงไม่รู้ แต่ลูกชายข้าพเจ้าแอบรักลูกสาวท่านมานานแล้ว ที่มาวันนี้ก็จะมาขอลูกสาวท่านให้ลูกชายข้าพเจ้า"

            "ข้าพเจ้าคิดว่าควรจะให้เด็กได้รู้จักกันให้มากกว่านี้ ไม่ดีหรือ"

            "โฮ่ย... เขารู้จักกันมามากพอแล้ว เห็นกันมาตั้งแต่เล็ก เราเองก็ไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ ไม่ใช่คนแปลกหน้าที่ไหน ถึงจะมาดูใจกันอีก"

            เศรษฐีลูกสาวสวย เมื่อเห็นเศรษฐีจากต่างตระกูลรุกหนักและไม่ทราบว่าจะตัดสินใจอย่างไร จึงบอกให้คนรับใช้เรียกลูกสาวมาหา

            "ลูกพ่อ ลุงเศรษฐีมาขอลูกให้แต่งงานกับลูกชายเขา ลูกจะว่ายังไง" เศรษฐีบอกลูกสาวพลางมองดูหน้าหล่อน

            "คุณพ่อ" ลูกสาวเศรษฐีพูดกับบิดา "หนูเป็นสมบัติของคุณพ่อ แล้วแต่คุณพ่อจะตัดสินใจ หนูทำตามคุณพ่อได้ทุกอย่าง"

            เศรษฐีลูกสาวสวยยิ้มที่มุมปากหลังจากได้ยินลูกสาวให้โอกาสตนเช่นนั้น เขามองหน้าลูกสาวแล้วหันมาทางเศรษฐีจากต่างตระกูลพร้อมกับพูดว่า

            "ท่านเศรษฐี เมื่อลูกสาวให้ข้าพเจ้าตัดสินใจ ข้าพเจ้าก็ยินดียกเธอให้แก่ลูกชายท่านตามที่ท่านขอ"

            เศรษฐีจากต่างตระกูลดีใจมากที่ขอลูกสาวเศรษฐีให้ลูกชายได้สำเร็จ เขาจับมือเศรษฐีนั้นไว้แน่นพลางกล่าวขอบคุณและให็สัญญาว่าจะไม่ทำให้ผิดหวัง

            จากนั้น เศรษฐีทั้งสองก็ตกลงหมั้นหมายกันและกำหนดวันแต่งงานไว้เสร็จสรรพ ครั้นแล้วเศรษฐีจากต่างตระกูลก็ลากลับไป

            ฝ่ายเศรษฐีลูกสาวสวย ครั้นเศรษฐีจากต่างตระกูลกลับไปแล้วก็เรียกภรรยามาปรึกษาหารือกัน ถึงเรื่องการจัดงานแต่งงานให้สมกับฐานะของตน

            "วันแต่งงานของลูกสาวเรา ซึ่งจะมีขึ้นในอีกสองเดือนข้างหน้าจะมีคนมาเยอะ ควรที่จะต้องจัดหาอาหารอย่างดีมาเลี้ยงรับรองแขกเหรื่อที่มาในงาน"

            เศรษฐีผู้สามีกล่าวกับภรรยา "ดังนั้นพี่ขอมอบงานด้านการจัดทำอาหารให้น้องดูแล"

            "แล้วเราจะทำอาหารอะไรเลี้ยงเขาดีล่ะ"

            "น้องว่าทำแกงมัสมั่นหมูเลี้ยงคงจะดี" ภรรยาเสนอแนะ

            "พี่ว่าเข้าท่าดีเหมือนกัน" เศรษฐีเห็นด้วย

            เมื่อตกลงกันเช่นนั้นแล้ว สองสามีภรรยาก็ช่วยกันเลี้ยงหมูให้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน โดยให้กินอาหารชนิดซึ่งเมื่อกินแล้วจะทำให้ได้เนื้อขึ้น หมูมุณิกะเองก็นึกกระหยิ่มอยู่ในใจที่ได้กินอาหารชนิดดี โดยที่ตัวเองหารู้ไม่ว่าจะถูกฆ่าเอาเนื้ออยู่อีกไม่นานแล้ว

            "พี่มหาโลหิตะ เวลานี้สังเกตเห็นหมูมุณิกะไหม เดี๋ยวนี้ อ้วนพีขึ้นเรื่อยๆ แต่ละมื๊อเห็นกินอาหารดีๆ" วัวจูฬโลหิตะฟ้องมหาโลกหิตะ

            "จูฬโลหิตะน้องรัก..." วัวมหาโลหิตะปลอบวัวจูฬโลหิตะ "น้องอย่าริษยาหมูมุณิกะเลย เพราะขณะนี้เขากำลังกินอาหารที่เป็นเหตุให้ตัวเองต้องตาย พี่อยากให้น้องพอใจในสิ่งที่เป็นอยู่ในเวลานี้เถิด เราได้กินข้าวลีบกันเป็นประจำมันก็ดีแล้ว เพราะมันจะทำให้น้องอายุยืน"

            วัวจูฬโลหิตะไม่เข้าใจความหมายที่วัวมหาโลหิตะบอกนัก แต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้ถาม เพราะเคารพในพี่ชายนั่นเอง แต่หลังจากนั้นมาใกล้ถึงวันงาน วัวจูฬโลหิตะก็เข้าใจ เพราะได้เห็นคนฆ่าหมูมาจับหมูมุณิกะไปฆ่า แล้วชำแหละเอาเนื้อไปปรุงอาหารเลี้ยงแขกที่มางานวันแต่งงานของลูกสาวเศรษฐี

            "พี่มหาโลหิตะ น่าสงสารหมูมุณิกะจังเลยนะ อยู่ดีดี ก็ถูกเขาจับฆ่ากิน" วัวจูฬโลหิตะปรารถกับวัวมหาโลหิตะ

            "น้องรัก..." วัวมหาโลหิตะเอ่ยขึ้น "น้องเข้าใจตามที่พี่บอกแล้วใช่ไหม เศรษฐีเลี้ยงหมูมุณิกะจนอ้วนก็เพราะต้องการเนื้อ ดังนั้นอาหารที่หมูมุณิกะกินเข้าไปเท่ากับไปช่วยเร่งให้ตัวเองอายุสั้น"

            "เข้าใจแล้วพี่มหาโลหิตะ" วัวจูฬโลหิตะรับคำก่อนที่จะก้มหน้ากินข้าวลีบ หญ้าแห้ง และฟางแห้งอย่างที่เคยกินมาต่อไป

                        อย่าหลงระเริงอยู่กับความสุขสบายที่ได้รับจนเกินไป เพราะความสุขสบายนั้น อาจนำภัยพิบัติมาให้ได้



สังคหวัตถุ 4

สังคหวัตถุ 4

 
สังคหวัตถุ 4 หมายถึง หลักธรรมที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจของผู้อื่น ผูกไมตรี เอื้อเฟื้อ เกื้อกูล หรือเป็นหลักการสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน มีอยู่ 4 ประการ ได้แก่
1. ทาน คือ การให้ การเสียสละ หรือการเอื้อเฟื้อแบ่งปันของๆตนเพื่อประโยชน์แก่บุคคลอื่น ไม่ตระหนี่ถี่เหนียว ไม่เป็นคนเห็นแก่ได้ฝ่ายเดียว คุณธรรมข้อนี้จะช่วยให้ไม่เป็นคนละโมบ ไม่เห็นแก่ตัว เราควรคำนึงอยู่เสมอว่า ทรัพย์สิ่งของที่เราหามาได้ มิใช่สิ่งจีรังยั่งยืน เมื่อเราสิ้นชีวิตไปแล้วก็ไม่สามารถจะนำติดตัวเอาไปได้
2. ปิยวาจา คือ การพูดจาด้วยถ้อยคำที่ไพเราะอ่อนหวาน พูดด้วยความจริงใจ ไม่พูดหยาบคายก้าวร้าว พูดในสิ่งที่เป็นประโยชน์เหมาะสำหรับกาลเทศะ พระพุทธเจ้าทรงให้ความสำคัญกับการพูดเป็นอย่างยิ่ง เพราะการพูดเป็นบันไดขั้นแรกที่จะสร้างมนุษย์สัมพันธ์อันดีให้เกิดขึ้น วิธีการที่จะพูดให้เป็นปิยวาจานั้น จะต้องพูดโดยยึดถือหลักเกณฑ์
ดังต่อไปนี้
เว้นจากการพูดเท็จ
เว้นจากการพูดส่อเสียด
เว้นจากการพูดคำหยาบ
เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ
3. อัตถจริยา คือ การสงเคราะห์ทุกชนิดหรือการประพฤติในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น
4. สมานัตตา คือ การเป็นผู้มีความสม่ำเสมอ หรือมีความประพฤติเสมอต้นเสมอปลาย คุณธรรมข้อนี้จะช่วยให้เราเป็นคนมีจิตใจหนักแน่นไม่โลเล รวมทั้งยังเป็นการสร้างความนิยม และไว้วางใจให้แก่ผู้อื่นอีกด้วย

อิริยาบถ 4

การบริหาร ดิน-น้ำ-ไฟ-ลม
-คือ การบริหาร นั่ง-นอน-ยืน-เดิน ของมนุษย์.......ร่างกายมนุษย์ เป็นศูนย์รวมของธาตุทั้ง 4 รวมตัวกันขึ้นมา เป็นร่างกายของมนุษย์ อันมีชีวิตเป็นแกนกลาง โดยอาศัยจิตและใจ เป็นผู้บริหารในชีวิตของมนุษย์ จิตเป็นใหญ่ แต่ใจเป็นประธานการบริหารชีวิต.......ชีวิตมนุษย์จะหมดปัญหา ถ้าใจของมนุษย์เป็นกลาง โดยธรรมชาติแต่เดิม ใจของมนุษย์บริสุทธิ์สะอาดอยู่แล้ว แต่ถูกความไม่รู้ ความอยาก ความยึด ความเห็นผิด 4 สหายเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นญาติ เป็นบริวาร ช่วยกันชักจูงไปในทางที่เสื่อมและผิดตามทำนองคลองธรรม
ธาตุทั้ง4-เป็นต้นธาตุ คือ ดิน-น้ำ-ไฟ-ลม...........อาการทั้ง 4 เป็นต้นธรรมของมนุษย์ ไม่มีมนุษย์คนใดในโลก เกิดมาแล้วไม่นั่ง ไม่นอน ไม่ยืนและไม่เดิน เป็นธรรมดาของชีวิตทุกชีวิต ที่เกิดมาเป็นคน แต่เรามาทำความรู้จัก การนั่ง นอน ยืน เดิน ของมนุษย์กันสักนิด ว่าทั้ง2อย่างเกี่ยวพันกันอย่างไร? โดยอาศัยการคิด การพูด และการกระทำเป็นตัว


โลกธรรม 8

โลกธรรม 8 หมายถึง เรื่องของโลกซึ่งมีอยู่ประจำกับชีวิต สังคมและโลกของมนุษย์ เป็นความจริงที่ทุกคนต้องประสบด้วยกันทั้งนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม อยู่ที่ว่า ใครจะประสบมาก หรือประสบน้อยช้าหรือเร็วกว่ากัน 

โลกธรรม แบ่งออกเป็น 8 ชนิด จำแนกออกเป็น 2 ฝ่ายควบคู่กัน ซึ่งมีความหมายตรงข้ามกัน คือ ฝ่ายอิฏฐารมณ์ อารมณ์ที่น่าปรารถนาและฝ่ายอนิฏฐารมณ์ อารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนา ดังนี้

โลกธรรมฝ่ายอิฏฐารมณ์ คือ ฝ่ายที่มนุษย์พอใจมี 4 เรื่อง คือ

1. ได้ลาภ หมายความว่า ได้ผลประโยชน์ ได้ทรัพย์สินเงินทอง ได้บ้านเรือนหรือที่สวน ไร่นา

2. ได้ยศ หมายความว่า ได้รับแต่งตั้งให้มีฐานันดรสูงขึ้น ได้ตำแหน่ง ได้อำนาจเป็นใหญ่เป็นโต

3. ได้รับสรรเสริญ คือ ได้ยิน ได้ฟัง คำสรรเสริญคำชมเชย คำยกยอ

4. ได้สุข คือ ได้ความสบายกาย สบายใจ ได้ความเบิกบาน ร่าเริง ได้ความบันเทิงใจ

โลกธรรมฝ่ายอนิฏฐารมณ์ คือ ฝ่ายที่มนุษย์ไม่พอใจมี 4 เรื่อง คือ

1. เสียลาภ หมายความว่า ลาภที่ได้มาแล้วเสียไป

2. เสื่อมยศ หมายถึง ถูกลดความเป็นใหญ่ ถูกถอดออกจากตำแหน่ง ถูกถอดอำนาจ

3. ถูกนินทา หมายถึง ถูกตำหนิติเตียนว่าไม่ดี ถูกผู้อื่นพูดถึง ความไม่ดีของเราในที่ลับหลังเรียกว่าถูกนินทา

4. ตกทุกข์ คือ ได้รับความทุกข์ทรมานกายทรมานใจ

ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ไม่มีอะไรเที่ยง ไม่มีอะไรแน่นอน ไม่มีอะไรเป็นตัวของเราเอง ไม่มีใครในโลกนี้จะพบแต่ความสมหวังตลอดชีวิต จะต้องพบกับคำว่าผิดหวังบ้าง 

ผู้มีปัญญาได้รับการศึกษาอบรมมาอย่างดีแล้ว พึงทำใจเอาไว้กลางๆ ว่า มีคนนินทา ก็ต้องมีคนสรรเสริญ มีสุขก็ต้องมีทุกข์ มีลาภย่อมเสื่อมลาภ มียศก็ย่อมเสื่อมยศ หากเราหวังอะไรเกินเหตุ เมื่อเวลาเราผิดหวัง ไม่สมหวัง ให้ทำใจไว้ว่านั่นคือโลกธรรมทั้ง 8 คือ มีได้ก็ต้องเสื่อมได้ เป็นของธรรมดาในโลกนี้ ไม่ว่าสัตว์หรือบุคคลใด ก็ย่อมหนีสิ่งเหล่านี้ไปไม่พ้น เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ ก็ย่อมหนีสิ่งเหล่านี้ไปไม่พ้นอย่างแน่นอน เพราะเมื่อไม่สมปรารถนาที่ตัวเองคิดไว้ จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียอกเสียใจ รำพึงรำพันกับตัวเองถึงความไม่สมหวัง จะได้ไม่ต้องเป็นทุกข์มาก 

เพราะฉะนั้น จงใช้สติปัญญาหมั่นพิจารณาอยู่เนืองๆ ว่า สิ่งใดมีเกิดขึ้น ก็ต้องมีเสื่อมไปเป็นของธรรมดา เหมือนโลกธรรมทั้ง 8 ประการ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ ทุกคนจะต้องตกอยู่ในโลกธรรม 8 กันถ้วนหน้า จะได้ไม่ต้องเศร้าโศกเสียใจเป็นทุกข์ สามารถดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้อย่างเป็นสุข"




http://www.oknation.net/blog/mettapc/2009/07/11/entry-1

วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2554

อกุศลกรรมบถ 10

อกุศลกรรมบถ ๑0
ความชั่วทางกาย ๓ ประการ
๑. ปาณาติบาต ( ฆ่าสัตว์ , เบียดเบียนสัตว์ ) ที่จะให้ผลย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังนี้ คือ
๑. สัตว์นั้นยังมีชีวิตอยู่จริงๆ
๒. เราก็รู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิตอยู่
๓. มีจิตหรือเจตนาที่จะฆ่าสัตว์นั้นให้ตาย
๔. ทำความเพียรเพื่อจะฆ่าสัตว์นั้น ( ความเพียรพยายามเพื่อฆ่าแบ่งออกเป็น ๖ ประการ )
๔.๑ ทำการฆ่าด้วยตนของตนเอง
๔.๒ ใช้ให้ผู้อื่นฆ่า หรือใช้วาจาทำการฆ่า
๔.๓ ใช้อาวุธเป็นเครื่องทำการฆ่า
๔.๔ ฆ่าด้วยหลุมพราง ( มีการวางแผนนานาประการเพื่อให้สัตว์นั้นตาย )
๔.๕ สังหารด้วยวิชาคุณ ( พิธีทางไสยศาสตร์ )
๔.๖ สังหารด้วยฤทธิ
๕. สัตว์นั้นก็ตายเพราะความเพียรนั้น
ผลของ ปาณาติบาต
ปฏิสนธิกาล คือ ทุคติภูมิ ๔ ได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน
ปวัตติกาล
๑. ทุพพลภาพ
๒. รูปไม่งาม
๓. กำลังกายอ่อนแอ
๔. กำลังกายเฉื่อยชา
๕. กำลังปัญญาไม่ว่องไว
๖. เป็นคนขลาดหวาดกลัว
๗. ฆ่าตนเอง หรือถูกผู้อื่นฆ่า
๘. โรคภัยเบียดเบียน
๙. ความพินาศของบริวาร
๑0. อายุสั้น
๒. อทินนาทาน ( ลักทรัพย์ ) ที่จะให้ผลย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังนี้ คือ
๑. ทรัพย์นั้นเป็นทรัพย์ของผู้อื่น
๒. ผู้กระทำการลักทรัพย์ก็รู้โดยชัดแจ้งว่าทรัพย์นั้นเป็นทรัพย์ของผู้อื่น
๓. มีจิตหรือมีเจตนาพยายามที่จะลักทรัพย์นั้นให้ได้
๔. มีความเพียรพยายามที่จะลักทรัพย์นั้น ( ความเพียรที่จะลักทรัพย์แบ่งออกเป็น ๖ ประการ )
๔.๑ ทำการลักทรัพย์นั้นด้วยตนของตนเอง
๔.๒ ใช้ให้ผู้อื่นทำการลักทรัพย์นั้น
๔.๓ ทำการลักทรัพย์นั้นโดยใช้อาวุธเป็นเครื่องประกอบ
๔.๔ ทำการลักทรัพย์โดยใช้เครื่องปกปิดไม่ให้จำหน้าตาได้
๔.๕ ทำการลักทรัพย์โดยใช้วิชาคุณ ( ไสยศาสตร์ เช่น สะกดให้เจ้าของทรัพย์หลับ )
๔.๖ ทำการลักทรัพย์ด้วยฤทธิ์เดช ( เช่น ดำดินไปลักทรัพย์ )
๕. ได้ทรัพย์มาสำเร็จเพราะความเพียรที่จะลักทรัพย์นั้น
ผลของ อทินนาทาน
ปฏิสนธิกาล คือ ทุคติภูมิ ๔ ได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน
ปวัตติกาล
๑. ด้อยทรัพย์
๒. ยากจนค่นแค้น
๓. มีความอดอยาก
๔. ไม่ได้สิ่งที่ตนปรารถนา
๕. พินาศในการค้า การขาย
๖. ทรัพย์ของตนพินาศเพราะอัคคีภัย อุทกภัย ราชภัย และโจรภัย เป็นต้น
๓. กาเมสุมิจฉาจาร ( ผิดประเวณี ) ที่จะให้ผลย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังนี้ คือ
๑. วัตถุที่ไม่ควรไป ( ผู้ที่ไม่สมควรเสพตามกฏหมายหรือตามประเพณี )
๒. มีจิตคิดที่จะเสพ
๓. มีความพากเพียรพยายามที่จะเสพ ( กระทำเองด้วยความเพียรเพื่อได้เสพรสกามคุณ )
๔. พอใจในการทำมัคคให้ล่วงมัคค ( พอใจในการเดินทางที่ผิด )
ผลของ กาเมสุมิจฉาจาร
ปฏิสนธิกาล คือ ทุคติภูมิ ๔ ได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน
ปวัตติกาล
๑. มีผู้เกลียดชังมาก
๒. มีผู้ปองร้ายมาก
๓. ขัดสนในทรัพย์
๔. ยากจนอดอยาก
๕. เป็นผู้หญิง
๖. เป็นกะเทย
๗. เป็นชายในตระกูลต่ำ
๘. ได้รับความอับอายเป็นอาจิณ
๙. ร่างกายไม่สมประกอบ
๑0. มากไปด้วยความวิตกห่วงใย
๑๑. พลัดพรากจากผู้ที่ตนรัก
การดื่มสุรา หมายถึงการเสพของมึนเมา จัดอยู่ในอกุศลกรรมประเภท " กาเมสุมิจฉาจาร "
องค์ประกอบของการดื่มสุรา
๑. สิ่งนั้นเป็นของมึนเมา
๒. มีเจตนาเพื่อที่จะดื่มหรือเสพหรือกิน
๓. กระทำการดื่ม การเสพ การกิน
๔. สุรานั้นล่วงลำคอลงไปแล้ว
ผลของ การดื่มสุรา หรือการเสพของมึนเมา
ปฏิสนธิกาล คือ ทุคติภูมิ ๔ ได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน
ปวัตติกาล
๑. ทรัพย์ถูกทำลาย
๒. เกิดวิวาทบาดหมาง
๓. เป็นบ่อเกิดของโรค
๔. เสื่อมเกียรติ
๕. หมดยางอาย
๖. ปัญญาเสื่อมถอย
ความชั่วทางวาจา ๔ ประการ
๔. มุสาวาท ( พูดโกหก ) ที่จะให้ผลย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังนี้ คือ
๑. เรื่องที่พูดนั้นเป็นเรื่องที่ไม่จริง ( วัตถุเทียม )
๒. มีจิตหรือเจตนาที่คิดจะพูดโกหก
๓. ประกอบด้วยความเพียรที่โกหกให้คนเชื่อ ( โดยหลักการที่จะให้คนเชื่อ ๓ ประการ )
๓.๑ พูดมุสาด้วยตนของตนเอง
๓.๒ ให้ผู้อื่นกล่าวคำโกหกแทนตัว
๓.๓ พูดหรือโฆษณาคำโกหกออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร
๔. ผู้ที่ได้ฟังหรืออ่านลายลักษณ์อักษรแล้วก็มีความเชื่อตามนั้น
ผลของ มุสาวาท
ปฏิสนธิกาล คือ ทุคติภูมิ ๔ ได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน
ปวัตติกาล
๑. พูดไม่ชัด
๒. ฟันไม่มีระเบียบ
๓. ปากเหม็นมาก
๔. ไอตัวร้อนจัด
๕. ตาไม่อยู่ในระดับปกติ
๖. พูดด้วยปลายลิ้น หรือปลายปาก
๗. ท่าทางไม่สง่าผ่าเผย
๘. จิตไม่เที่ยงคล้ายวิกลจริต
๕. ปิสุณาวาท ( พูดส่อเสียด ) ที่จะให้ผลย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังนี้ คือ
๑. มีคนหมู่มากหรือน้อยที่ต้องการให้เขามีความแตกแยกซึ่งกันและกันเกิดขึ้น
๒. มีความปรารถนาหรือเจตนาต้องการให้คนหมู่นั้นแตกแยกกัน
๓. เพียรพยายามที่ให้เขาแตกแยกกัน ( โดยหลักการทำได้ ๒ ประการ )
๓.๑ วจีปโยค คือ กล่าวด้วยวาจาให้เขามีความแตกแยกกัน
๓.๒ กายปโยค คือ การแสดงกิริยาบุ้ยใบ้ให้เขาแตกแยกกันโดยไม่ออกเสียง
๔. คนในหมู่คณะนั้นก็ปักใจเชื่อใน " วจีปโยค หรือ กายปโยค " ที่แสดงออกไป
ผลของ ปิสุณาสวาท
ปฏิสนธิกาล คือ ทุคติภูมิ ๔ ได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน
ปวัตติกาล
๑. ตำหนิตนของตนเอง
๒. แตกมิตรสหาย
๓. มักถูกลือโดยไม่มีความจริง
๔. ถูกบัณฑิตตำหนิติเตียน
๖. ผรุสวาท ( กล่าวคำหยาบ ) ที่จะให้ผลย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังนี้ คือ
๑. มีคนอื่นที่จะพึงด่าว่าให้เขามีความเจ็บช้ำน้ำใจ
๒. เหตุที่จะกล่าวให้เขามีความเจ็บช้ำน้ำใจนั้น เพราะเหตุว่ามีจิตโกรธเคืองเขา
๓. จึงแสดงคำหยาบหรือแสดงอาการหยาบ เพื่อให้เขาเจ็บช้ำใจ ( โดยหลักการทำได้ ๒ ประการ )
๓.๑ วจีปโยค คือ การกล่าวทางวาจาให้เขามีความเจ็บช้ำน้ำใจ
๓.๒ กายปโยค คือ การแสดงอาการกิริยาบุ้ยใบ้ให้เขามีความเจ็บช้ำน้ำใจ
ผลของ ผรุสวาท
ปฏิสนธิกาล คือ ทุคติภูมิ ๔ ได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน
ปวัตติกาล
๑. พินาศในทรัพย์
๒. มีกายวาจาหยาบ
๓. ได้ยินเสียง เกิดความไม่พอใจ
๔. ตายด้วยอาการงงงวย
๗. สัมผัปปลาปะ ( กล่าวคำเพ้อเจ้อ )ที่จะให้ผลย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังนี้ คือ
๑. มุ่งกล่าวคำที่ไร้แก่นสารไม่มีประโยชน์ หรือเจตนานั่นเอง
๒. กล่าวคำที่ไม่มีประโยชน์นั้นออกไป
ผลของ สัมผัปปลาปะ
ปฏิสนธิกาล คือ ทุคติภูมิ ๔ ได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน
ปวัตติกาล
๑. เป็นอธัมมวาทบุคคล
๒. ไม่มีอำนาจ
๓. ไม่มีผู้เลื่อมใสในคำพูด
๔. จิตไม่เที่ยง คือวิกลจริต
ความชั่วทางใจ ๓ ประการ
๘. อภิชฌา ( อยากได้ของผู้อื่น ) ที่จะให้ผลย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังนี้ คือ
๑. ทรัพย์หรือของเหล่านั้นเป็นของผู้อื่น
๒. มีความเพ่งเล็งที่จะให้ได้ทรัพย์หรือของเหล่านั้นมาเป็นของตน
ผลของ อภิชฌา
ปฏิสนธิกาล คือ ทุคติภูมิ ๔ ได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน
ปวัตติกาล
๑. ปฏิสนธิในตระกูลต่ำ
๒. มักได้รับคำติเตียน
๓. ขัดสนในลาภสักการะ
๔. เสื่อมในทรัพย์และคุณงามความดี
๙. พยาบาท ( ผูกใจเจ็บ )ที่จะให้ผลย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังนี้ คือ
๑. มีสัตว์อื่นเพื่อทำลาย
๒. มีจิตหรือเจตนาคิดทำลายเพื่อให้สัตว์นั้นประสพความพินาศ
ผลของ พยาบาท
ปฏิสนธิกาล คือ ทุคติภูมิ ๔ ได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน
ปวัตติกาล
๑. มีรูปทราม
๒. อายุสั้น
๓. มีโรคภัยเบียดเบียน
๔. ตายโดยถูกประทุษร้าย
๑0. มิจฉาทิฏฐิ ( ความเห็นผิด )ที่จะให้ผลย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังนี้ คือ
๑. มีความตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์ที่ผิด
๒. เชื่อและยินดีพอใจในอารมณ์ที่ผิดนั้น
ผลของ มิจฉาทิฏฐิ
ปฏิสนธิกาล คือ ทุคติภูมิ ๔ ได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน
ปวัตติกาล
๑. มีปัญญาทราม
๒. เป็นผู้มีฐานะไม่เทียมคน
๓. ปฏิสนธิในพวกคนป่าที่ไม่รู้อะไร
๔. ห่างไลกแห่งรัศมีแห่งพระธรรม


http://board.palungjit.com/f8/%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%9B-%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%A8%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%96-10-a-157223.html

กุศลกรรมบท 10 ประการ

กุศลกรรมบท 10 ประการ

1. งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ที่มีชีวิตให้ตาย และไม่ใช้ให้ผู้อื่นฆ่า สร้างจิตให้เมตตารักใคร่คน และสัตว์ดิรัจฉาน มีความปรารถนาอย่างจริงใจที่จะให้คน มีความปราศจากทุกข์โดยทั่วหน้ากัน มีความกรุณาสงสารคนและสัตว์ผู้ประสบความทุกข์ยาก งดเว้นการเบียดเบียนให้คนและสัตว์เดือดร้อน เช่น ทำให้อวัยวะ มีแขน ขา เป็นต้น ของคนและสัตว์ให้หักหรือพิการ หรือทรมานสัตว์ให้ได้รับความเหนื่อยยากลำบาก มีมุทิตาพลอยยินดีในเมื่อคนและสัตว์ได้ดี มีลาภ มียศ มีความสุข ความเจริญ งดเว้นจากการอิจฉาริษยาคนและสัตว์ที่ดีกว่าตน และตั้งจิตเป็นอุเบกขาวางเฉย ในเมื่อประสบคนและสัตว์ที่ถึงความปิติ จนไม่สามารถจะช่วยได้ โดยพิจารณาว่าเป็นกรรมของคนและสัตว์นั้นเอง

2. งดเว้นจากการลักขโมยสิ่งของ ๆ คนและสัตว์ และไม่ใช้ให้ผู้อื่นลักขโมย ไม่หลอกลวงให้ผู้อื่นต้องเสียทรัพย์และชื่อเสียง

หมั่นบำเพ็ญทาน และสละทรัพย์ และสิ่งของให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น และสาธารณประโยชน์เสมอ ๆ เพื่อทำให้จิตใจบรรเทาเบาบางลงจากความตระหนี่ และความโลภอยากได้ของผู้อื่นมาเป็นของตน

3. งดเว้นจากการประพฤติผิดในกามทั้งหลาย คือ ไม่ข่มขืน ทำลามกอนาจาร ล่วงละเมิดสิทธิสตรีและบุรุษอื่น เรียกว่าไม่ทำชู้ในสามีและภรรยาของผู้อื่น พยายามถือสันโดษ ยินดีเฉพาะในภรรยาหรือสามีของตนเท่านั้น ไม่รักหญิงอื่นยิ่งกว่าภรรยาของตน

แม้สิ่งของใด ๆ ของใคร ๆ ก็ไม่ถือโอกาสเอาไปใช้ หรือแตะต้องก่อนได้รับอนุญาติจากเจ้าของ โดยถือหลักว่า “เมื่อไม่มีสิ่งที่ตัวชอบ จงชอบสิ่งที่ตัวมี”

4. งดเว้นจากการพูดเท็จ คือ ไม่พูดโกหกหลอกลวงให้ผู้อื่นเข้าใจผิดตามที่ตนพูด เช่น สิ่งใดที่เรารู้เราเห็น เมื่อเขาถาม เรากลับตอบว่าเราไม่รู้เราไม่เห็น และสิ่งใดที่เราไม่รู้ไม่เห็น แต่กลับตอบว่าเรารู้เราเห็น เป็นต้นเช่นนี้

พยายามพูดแต่คำที่สัตย์จริง หากคำใดเราเห็นว่าพูดออกไปแล้วแม้เป็นความจริง แต่จะทำให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น เราก็งดเสียไม่พูดเลย เพราะถ้าไม่พูดคำจริงเราก็พูดเท็จ อันเป็นการทำให้เราเสียกุศลกรรมบถอันนี้

5. งดเว้นจากการพูดส่อเสียด ได้แก่การฟังข้างนี้ แล้วเอาไปบอกข้างโน้น เพื่อจะทำลายข้างนี้ หรือได้ฟังข้างโน้นแล้วเอามาบอกข้างนี้ เพื่อจะทำลายข้างโน้น คือ มุ่งหมายยุยงให้เขาแตกจากกัน ทำลายความพร้อมเพรียงกัน

ส่งเสริมผู้ที่แตกกันแล้วให้แตกมากยิ่งขึ้น ยินดีเพลิดเพลินในความเป็นพรรคเป็นพวก เข้าข้างพวกโน้นบ้างพวกนี้บ้าง ทำพรรคต่อพรรคให้แตกจากกัน ตั้งใจพูดแต่คำที่จะสมานไมตรีเชื่อมโยงให้คนโน้นคนนี้มีความรักใคร่ นับถือกัน พูดให้พรรคต่อพรรคปรองดองกลมเกลียวสามัคคีกัน ถ้าเห็นว่าจะช่วยให้เขาสามัคคีกันไม่ได้ก็งดเสีย

6. งดเว้นจากการพูดวาจาหยาบคายที่เผ็ดร้อน ที่เป็นปม เป็นที่ขัดข้องของผู้อื่น เป็นที่ระคายหูของผู้ที่ได้ยินได้ฟัง ยิ่งเป็นคำด่าคำแช่ง แม้แต่กับสัตว์ดิรัจฉานก็ไม่ควรพูดเลย เพราะเป็นการส่อสันดานของตนเองว่าเป็นคนเลว

พยายามพูดแต่คำที่อ่อนหวาน เรียบร้อย นุ่มนวล ละมุนละไม เป็นที่พอใจชุ่มชื่นเบิกบานใจของผู้ที่ได้ยินได้ฟัง

7. งดเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ ได้แก่ งดการพูดในเวลาที่ไม่ควรพูด ในสถานที่ที่เขาไม่ต้องการให้เราพูด การพูดมากไปกว่าความจริง พูดไม่มีเหตุผล พูดวาจาไม่มีหลักฐาน ไม่พูดตามธรรมวินัย พูดไม่รู้จักหยุด แม้ไม่มีใครอยากฟังแล้วก็ยังพูดเรื่อยเปื่อยไปโดยไม่มีประโยชน์

ต้องใช้สติสัมปชัญญะในการพูดทุกครั้ง ถึงเป็นเรื่องจริงก็ต้องพูดให้ถูกกาลเทศะ พูดให้มีเหตุผลพอที่จะเชื่อถือได้ พูดให้ถูกตามธรรมตามวินัย พูดแต่พอเหมาะพอสมควรไม่ให้มากเกินเรื่องราวจนจับไม่ได้ว่าเรื่องอะไร ซึ่งเรียกว่า “พูดเป็นน้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง” หรือ “พูดกระบุงเอาสักกระบายไม่ได้” ดังนี้ ถ้าเห็นว่าพูดแล้วมีประโยชน์แก่ผู้ฟังจึงพูด ถ้าเห็นว่าพูดแล้วจะไม่มีประโยชน์เลยก็อย่าพูดเสียดีกว่า จงนึกถึงภาษิตโบราณไว้เสมอว่า
“อันดีชั่วสุดนิยมที่ลมปาก
จะได้ยากโหยหิวเพราะชิวหา

จะถูกผิดเป็นมนุษย์เพราะพูดจา

จะเจรจาจงพิเคราะห์ให้เหมาะความ”

8. ไม่โลภอยากได้ของผู้อื่นมาเป็นของตน ได้แก่ เมื่อเห็นพัสดุอุปกรณ์เครื่องใช้สอย ทั้งที่มีวิญญาณ และไม่มีวิญญาณของผู้อื่นแล้ว แม้ตนจะชอบพอใจก็ไม่พยายามเพ่งว่า ขอให้สมบัติของผู้นั้นจงมาเป็นของเรา หรือครุ่นคิดแต่ในใจว่า ทำไฉนเราจึงจะได้ทรัพย์สมบัติของผู้นั้นหนอดังนี้

จงพยายามคิดให้เห็นว่า ทรัพย์สมบัติเครื่องใช้สอยอย่างดีเป็นอันมาก เกิดขึ้นแก่ผู้นั้นก็เพราะเขาได้ทำความดีเป็นบุญเป็นกุศลมาก่อน แม้ชาตินี้เราไม่เห็นเขาทำอะไร ก็คงเป็นเพราะเขาทำมาแล้วแต่อดีตชาติโน้น ผลจึงเกิดสนองให้เขาเป็นคนมั่งมีด้วยทรัพย์สมบัติอันน่าปลื้มใจ เช่นนั้นถ้าเราไปโลภอยากได้ของเขา จะทำให้เกิดเป็นบาปแก่ใจ คือเป็นสนิมเกาะกินจิตใจของเราเหมือนสนิมอันเกิดแก่เหล็ก และเกาะกินเนื้อเหล็กฉะนั้น ทำให้จิตใจของเรากร่อนอ่อนกำลังลงไม่สามารถจะทำความดีอย่างอื่นได้

ควรพยายามแสดงมุทิตาจิตพลอยยินดีต่อผู้นั้น แล้วพยายามบำเพ็ญบุญกุศล เช่นให้ทาน เสียสละความโลภของตนให้เบาบางลง และขวนขวายช่วยเหลือผู้อื่นในการทำความดีเป็นต้น ผลจะบังเกิดแก่ตนเองในภายหลัง

9. ไม่พยาบาทปองร้ายเขา คือ ไม่คิดอยากให้ผู้อื่นเดือดร้อน ไม่จองเวรต่อสัตว์และคนอื่น ไม่ตั้งใจที่จะให้ใคร ๆ เป็นผู้ฉิบหาย หรือวิบัติด้วยประการใด

แม้จะโกรธเคืองใครบ้าง โดยที่เขามาทำอะไรให้เสียหาย หรือมาด่าว่าให้เกิดความเจ็บช้ำน้ำใจ ก็ไม่อาจอาฆาตพยาบาทจองเวรผู้นั้นต่อไปอีก เช่น เขามาทำร้ายเราก็ให้คิดเสียว่า เพราะเราระวังตัวไม่ดีหรือเพราะเราเคยทำร้ายให้เขาเดือดร้อนมาก่อนแล้ว กรรมจึงติดตามมาสนองเรา ขอให้เป็นการใช้หนี้

กรรมกันสุดสิ้นแต่เพียงชาตินี้เถิด หรือเขามาโกงเงินเรา โดยยืมไปแล้วไม่ใช้คืน หรือเข้าหุ้นกันแล้วเขาโกงไปเสีย เช่นนี้จงคิดว่าเราเคยโกงเขามาแล้วในชาติก่อนโน้น เขาจึงโกงเอาคืนไป ขอให้สิ้นสุดเวรกรรมกันเสียที ตั้งใจแผ่เมตตาให้เขาเหล่านั้นจงเป็นผู้มีความสุขปราศจากทุกข์ มีความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปเถิด อย่าพยาบาทจองเวรซึ่งกันและกันเลย พิจารณาให้เห็นโทษว่า การพยาบาทนั้นมันทำให้เราเดือดร้อนกระวนกระวาย กระสับกระส่ายเป็นทุกข์ใจไปคนเดียว เราเป็นผู้ขาดทุนคนเดียวแท้ ๆ จักผ่อนคลายความพยาบาทลงได้มากทีเดียว หรือคิดให้เห็นว่า ความพยาบาทนี้หากจองเวรกันตลอดไปแล้วย่อมไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนงูเห่ากับพังพอน

10. เห็นชอบตามทำนองคลองธรรม ได้แก่ เห็นว่าบุญมีจริงบาปมีจริง ผลของบุญมี ผลของบาปมี คนทำดีย่อมได้ดี คนทำชั่วย่อมได้ชั่ว นรกมี สวรรค์มี และนิพพานก็มี โลกนี้โลกอื่นมี ชาตินี้ชาติหน้ามี

สัตว์ที่ยังมีกิเลสทำกรรมไว้ ตายแล้วย่อมต้องเกิดเสวยผลของกรรมนั้นอีก ผู้ที่ไม่มีกิเลสอันเป็นเหตุให้ทำกรรมมีจิตสงบบริสุทธิ์หมดจดตายแล้วย่อมไม่ต้องเกิดอีก เพราะหมดเหตุหมดปัจจัยอันจะทำให้เกิดแล้ว

จงระวังอย่าให้จิตเห็นผิดว่านรกไม่มี สวรรค์ไม่มี นิพพานไม่มี ทำบุญไม่ได้บุญ ทำบาปไม่ได้บาป คนจะดีชั่วก็ดีเองชั่วเอง พ่อแม่ไม่มีตายแล้วก็สูญ เกิดมาแล้วต้องกินให้เต็มที่ สนุกให้เต็มที่

วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

สื่อมัลติมีเดีย

เนื่องจากประสิทธิภาพของสื่อมัลติมีเดีย ที่สามารนำเสนอเนื้อหาได้ทั้งข้อความ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว เสียง วีดิทัศน์ และอื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ประจวบเหมาะสมระบบติดต่อผู้ใช้ (GUI: Graphics User Interface) ที่ทำให้ผู้ใช้มีความสะดวกในการใช้งาน สร้างสรรค์งาน ทำให้บทบาทของสื่อฯ มีมากขึ้นตามลำดับ มีการนำสื่อมัลติมีเดีย มาประยุกต์ใช้กับงานต่างๆ มากมาย เช่น การเรียนการสอน การถ่ายทอดความรู้ การนำเสนอข้อมูล การประชาสัมพันธ์ เป็นต้น

ประเภทของสื่อมัลติมีเดีย
เนื่องจากมัลติมีเดีย เป็นเทคโนโลยีของสื่อหลากหลายสื่อ สามารถแบ่งประเภทได้ดังนี้ (NECTEC, 2546)
1.  เทคโนโลยีเกี่ยวกับเสียง (Audio Technology) ซึ่งรวมทั้งเสียงพูด และเสียงดนตรี ตั้งแต่การประมวลผล การแสดงผล การจัดการต่างๆ เช่น การบีบอัดสัญญาณ การสื่อสาร การส่งสัญญาณ
2.  เกี่ยวกับวีดิโอ (Video Technology) อันได้แก่ การประมวลผล การปรับแต่ง การใช้งาน การเรียกหา สืบค้น การส่งกระจาย มาตรฐานการบีบอัดสัญญาณ การเข้ารหัสและถอดรหัส การส่งข้อมูล การทำงานร่วมกับสื่ออื่นๆ
3.  เทคโนโลยีรูป (Image Technology) เป็นการพัฒนาและประยุกต์ใช้ภาพ การจัดการฟอร์แมต คลังภาพ การค้นหา การสร้าง และตกแต่งภาพ
4.  เทคโนโลยีข้อความ (Text Technology) เกี่ยวกับข้อความหรือตัวอักษร ทั้งการใช้ และลักษณะรูปแบบของข้อความแบบต่างๆ
5.  เทคโนโลยีภาพเคลื่อนไหวและภาพสามมิติ  (Animation & 3D Technology) เป็นเทคโนโลยีเกี่ยวกับการแสดงผลด้านภาพเคลื่อนไหว ทั้งแบบ 2 มิติ และ 3 มิติ การสร้างภาพ
เสมือนจริง (VR-Visual Reality) การสร้าง ตกแต่ง ประมวลผล การใช้งาน
6.  เทคโนโลยีการพัฒนา (Authoring System Technology) คือ เทคโนโลยีที่ได้พัฒนาเพื่อสร้างเครื่องมือสำหรับงานพัฒนามัลติมีเดีย ในรูปของซอฟต์แวร์ช่วยในการนำข้อมูล เนื้อหา (Content) เข้าไปเก็บตามสื่อรูปแบบต่างๆ ที่วางไว้ เพื่อนำเสนอ เช่น การใช้เครื่องมือต่างๆ หรือการสร้างเครื่องมือใหม่ๆ
7. เทคโนโลยีกับระบบการศึกษา เป็นการศึกษาเพื่อนำเอาเทคโนโลยีมัลติมีเดียมาประยุกต์ใช้กับระบบการศึกษา  ในรูปของ CAI-Computer Aided Instruction, CBT-Computer Based Training ตลอดจนงานประชาสัมพันธ์  โฆษณา สร้างภาพยนตร์
8.  เทคโนโลยีการผลิต (Publishing Technology) เป็นการนำเอามัลติมีเดียมาใช้ด้าน
งานพิมพ์ เพื่อเพิ่มชีวิตชีวาให้กับงานพิมพ์ มีรูปแบบที่โดดเด่น และนำเสนอ หรือพิมพ์ลงสื่อได้หลายรูปแบบ เช่น DTP-Desktop Publishing, CD-Rom Title & Publishing
9.  เทคโนโลยีการกระจาย (Broadcasting & Conferencing) ส่งเกี่ยวข้องกับการเผยแพร่ข้อมูล เผยแพร่สัญญาณ เช่น Conference, Multicasting Backbone เป็นต้น
10.  เทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูล (Storage Technology) เนื่องด้วยข้อมูลด้านมัลติมีเดียมักจะมีขนาดโต ทำให้ต้องเกี่ยวข้องกับสื่อบันทึกข้อมูลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งเกี่ยวกับรูปแบบของสื่อ รูปแบบการบีบอัดข้อมูล รูปแบบการบันทึกข้อมูล
11. เทคโนโลยี WWW & Hyper Text โดยจะช่วยให้เกิดการเผยแพร่สื่อมัลติมีเดียในรูปแบบที่นิยมมากที่สุดและเร็วที่สุดผ่านระบบ WWW  และมีระบบโต้ตอบด้วยเทคโนโลยี  Hyper Text & HyperMedia
12. เทคโนโลยีคลังข้อมูล (Media Archives) ซึ่งเกี่ยวกับการจัดเก็บข้อมูลปริมาณมากๆ และการเรียกค้นภายหลัง เช่น Photo & Image Server, AVI archives เทคโนโลยีที่กล่าวมาข้างต้น  เป็นส่วนประกอบที่สำคัญกับเทคโนโลยีมัลติมีเดีย  ซึ่งจะช่วยให้เทคโนโลยีมัลติมีเดียมีคุณค่า  และเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง


จรรยาบรรณของนักสร้างมัลติมีเดีย
-มีความซื่อสัตย์ต่อตนเองไม่นำผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตน ไม่ลอกเลียนงานของผู้อื่น ต้องให้เกียรติและอ้างถึงบุคคลหรือแหล่งที่มาของข้อมูล
-มีความซื่อสัตย์ต่อตนเองและต่อผู้อื่น

องค์ประกอบมัลติมีเดีย
        องค์ประกอบมัลติมีเดีย (ทวีศักดิ์  กาญจนสุวรรณ, 2546 : 3-7)  สามารถจำแนกองค์ประกอบของสื่อต่างๆได้เป็น  5 ชนิด  ประกอบด้วย  ข้อความหรือตัวอักษร (Text) ภาพนิ่ง (Still Image)  ภาพเคลื่อนไหว (Animation)  เสียง (Sound) 
และวิดีโอ (Video)
         การนำเอาองค์ประกอบทั้งห้ามาผสมผสานเข้าด้วยกัน  เพื่อใช้สำหรับการปฏิสัมพันธ์หรือโต้ตอบ(Interaction) ระหว่างคอมพิวเตอร์กับผู้ใช้  ซึ่งถือได้ว่า  เป็นกิจกรรมที่ผู้ใช้สามารถเลือกกระทำต่อมัลติมีเดียได้ตามต้องการ  ตัวอย่างเช่น  ผู้ใช้ได้ทำการเลือกรายการและตอบคำถามผ่านทางจอภาพของเครื่องคอมพิวเตอร์  จากนั้นระบบคอมพิวเตอร์ก็จะทำการประมวลผล  แล้วแสดงผลลัพธ์ย้อนกลับผ่านทางจอภาพของเครื่องคอมพิวเตอร์ จากนั้นระบบคอมพิวเตอร์ก็จะทำการประมวลผล  แล้วแสดงผลลัพธ์ย้อนกลับผ่านทางจอภาพให้ผู้ใช้เห็นอีกครั้ง
1. ข้อความหรือตัวอักษร (Text)
         ข้อความหรือตัวอักษรถือว่าเป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่สำคัญของมัลติมีเดีย  ระบบมัลติมีเดียที่นำเสนอผ่านจอภาพของเครื่องคอมพิวเตอร์  นอกจากนี้จะมีรูปแบบและสีของตัวอักษรให้เลือกมากมายตามความต้องการแล้วยังสามารถกำหนดคุณลักษณะของการมีปฏิสัมพันธ์ (โต้ตอบ) ในระหว่างการนำเสนอได้อีกด้วย

2. ภาพนิ่ง (Still Image)
        ภาพนิ่งเป็นภาพที่ไม่มีการเคลื่อนไหว เช่น ภาพถ่าย  ภาพวาด  ภาพลายเส้น  เป็นต้น  ภาพนิ่งนับว่ามีบทบาทต่อระบบงานมัลติมีเดียมากกว่าข้อความหรือตัวอักษรทั้งนี้  เนื่องจากภาพจะให้ผลในเชิงการเรียนรู้หรือรับรู้ด้วยการมองเห็นได้ดีกว่า  นอกจากนี้  ยังสามารถถ่ายทอดความหมายได้ลึกซึ้งมากกว่าข้อความหรือตัวอักษรนั่นเอง  ซึ่งข้อความหรือตัวอักษรจะมีข้อจำกัดทางด้านความแตกต่างของแต่ละภาษา  แต่ภาพนั้นสามารถสื่อความหมายได้ทุกชนชาติ  ภาพนิ่งมักจะแสดงอยู่บนสื่อชนิดต่างๆ เช่น  โทรทัศน์  หนังสือพิมพ์หรือวารสารวิชาการ  เป็นต้น

3. ภาพเคลื่อนไหว (Animation)
        ภาพเคลื่อนไหว หมายถึง ภาพกราฟิกที่มีการเคลื่อนไหวเพื่อแสดงขั้นตอนหรือปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง  เช่นการเคลื่อนที่ของอะตอมภายในโมเลกุล  หรือการเคลื่อนที่ของลูกสูบของเครื่องยนต์ เป็นต้น  ทั้งนี้เพื่อสร้างสรรค์จินตนาการให้เกิดแรงจูงใจจากผู้ชม  การผลิตภาพเคลื่อนไหวจะต้องใช้โปรแกรมที่มีคุณสมบัติเฉพาะทางซึ่งอาจมีปัญหาเกิดขึ้นอยู่บ้างเกี่ยวกับขนาดของไฟล์  ที่ต้องใช้พื้นที่ในการจัดเก็บมากกว่าภาพนิ่งหลายเท่านั่นเอง

4. เสียง (Sound)
        เสียงเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญของมัลติมีเดีย  โดยจะถูกจัดเก็บอยู่ในรูปของสัญญาณดิจิตอล  ซึ่งสามารถเล่นซ้ำกลับไปกลับมาได้  โดยใช้โปรแกรมที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับทำงานด้านเสียง  หากในงานมัลติมีเดียมีการใช้เสียงที่เร้าใจและสอดคล้องกับเนื้อหาในการนำเสนอ  จะช่วยให้ระบบมัลติมีเดียนั้นเกิดความสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น  นอกจากนี้ยังช่วยสร้างความน่าสนใจและน่าติดตามในเรื่องราวต่างๆได้เป็นอย่างดี  ทั้งนี้  เนื่องจากเสียงจะมีอิทธิพลต่อผู้ใช้มากกว่าข้อความหรือภาพนิ่งนั่นเอง  ดังนั้น  เสียงจึงเป็นองค์ประกอบที่จำเป็นสำหรับมัลติมีเดียซึ่งสามารถนำเข้าเสียงผ่านทางไมค์โครโฟน  แผ่นซีดี  เทปเสียง  และวิทยุ 
เป็นต้น

5. วิดีโอ (Video)
        วีดีโอเป็นองค์ประกอบของมัลติมีเดียที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก  เนื่องจากวีดีโอในระบบดิจิตอลสามารถนำเสนอข้อความ  หรือรูปภาพ (ภาพนิ่งหรือภาพเคลื่อนไหว) ประกอบกับเสียงได้สมบูรณ์มากกว่าองค์ประกอบชนิดอื่นๆ อย่างไรก็ตาม  ปัญหาหลักของการใช้วีดิโอด้วยเวลาที่เกิดขึ้นจริง(Real Time) จะต้องประกอบด้วยจำนวนภาพไม่ต่ำกว่า 30 ภาพต่อวินาที (Frame/Second)  ถ้าหากการประมวลผลภาพดังกล่าวไม่ได้ผ่านกระบวนการบีบอัดขนาดสัญญาณมาก่อน  การนำเสนอภาพเพียง1 นาที  อาจต้องใช้หน่วยความจำมากกว่า 100 MB ส่งผลให้ไฟล์มีขนาดใหญ่เกินไป  ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานด้อยตามไปด้วย  จนกระทั่งเทคโนโลยีการบีบอัดขนาดของภาพได้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง  ทำให้ภาพวีดิโอสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น  และกลายเป็นสื่อที่มีบทบาทสำคัญต่อระบบมัลติมีเดีย (Multimedia System)




http://thante.wordpress.com/2009/06/07/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%A5%E0%B8%95/

http://www.thaigoodview.com/library/contest2551/tech04/21/standard/m04.html

http://www.siam1.net/article-8656.html

http://www.gotoknow.org/blog/jananey/196303

วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

จริยธรรมคอมพิวเตอร์

ความหมายของจริยธรรม

ความหมายของ จริยธรรมจริยธรรม หมายถึง ข้อที่ควรประพฤติปฏิบัติ เป็นธรรมะทางใจที่ควบคุมพฤติกรรม ความประพฤติที่ดีที่ชอบที่ถูกที่ควร เป็นเรื่องของความรู้สึกในการพัฒนาตนเอง ที่มุ่งหมายให้คนในสังคมอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ดำรงชีวิตอยู่อย่างบริบูรณ์เปี่ยมไปด้วยความดีทั้งกายวาจาและใจจริยะหรือ จริยา คือ ความประพฤติ การกระทำ เมื่อสมาสกับคำว่า ธรรม หรือ ธรรมะ จึงเป็นความประพฤติที่ถูกต้องตามครรลองครองธรรม ชอบธรรม เป็นธรรมชาติจริยธรรมเป็นเรื่องสำคัญในการทำงาน ควบคู่กับ วินัย อันเป็นข้อห้ามหรือข้อบังคับให้ต้องปฏิบัติ สำหรับข้าราชการก็ให้เป็นไปตามระเบียบของทางราชการดังนั้น จริยธรรม จึงเป็นความประพฤติ การกระทำและความคิดที่ถูกต้องดีงาม รวมถึงการทำหน้าที่ของตนให้ครบถ้วนสมบูรณ์ เว้นในสิ่งที่ควรละเว้น ประกอบการและดำรงชีวิตอย่างฉลาด ด้วยสติและปัญญา รู้เหตุรู้ผลรู้กาลเทศะ กระทำทุกอย่างด้วยความรอบคอบ เสียสละอุทิศตน มุ่งมั่นและบากบั่นจริยธรรมจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นยิ่งสำหรับทุกคน ทุกหมู่เหล่าและทุกอาชีพ สังคมจะอยู่รอดและเป็นสุขได้ ก็ด้วยจริยธรรม
• ถึงสูงศักดิ์ อัครฐาน สักปานใด
• ถึงวิไล เลิศฟ้า สง่าศรี
• ถึงฉลาด กาจกล้า ปัญญาดี
• ถ้าไม่มี คุณธรรม ก็ต่ำคน

ความสำคัญของจริยธรรม จริยธรรม จึงเป็น…เครื่องมือยุทธศาสตร์ของชาติ และ สังคมเครื่องชี้วัดความเจริญความเสื่อมของสังคมหัวใจของการพัฒนาที่ยั่งยืน การพัฒนาที่เหนือกว่าความเจริญทางวัตถุรากฐานของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข การยอมรับนับถือซึ่งกันและกันของทุกคนและทุกกลุ่มในสังคมรากฐานของความเข้มแข็งของชาติ กองทัพ และกลุ่มอาชีพเรื่องของการพัฒนาคุณภาพชีวิต ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินเป็นอำนาจกำลังรบที่ไม่มีตัวตน และเป็นตัวคูณอำนาจกำลังรบ
จริยธรรมทางธุรกิจ : การพัฒนาคุณภาพจิตที่มีอิทธิพลต่อความประพฤติของมนุษย์ในสังคม 
 
          การบริหารธุรกิจอย่างมีจริยธรรมมีองค์ประกอบหรือเกณฑ์ชี้วัดอย่างไรเป็นประเด็นที่ต้องสร้างให้ชัดเจนและเป็นหลักสากลให้เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป ผู้บริหารกับจริยธรรมทางธุรกิจเป็นเรื่องของการเตือนสติในการประกอบอาชีพของตนว่า สิ่งใดพึงกระทำสิ่งใดพึงละเว้น แม้ข้อกำหนดทางจริยธรรมจะเป็นปกติวิสัยที่องค์การทั่วไปต้องสร้าง

          ความตื่นตัวในเรื่องจริยธรรมทางธุรกิจของประเทศไทยเป็นไปค่อนข้างช้า จนเมื่อเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจขึ้นในประเทศไทยในปี พ.ศ. 2540 ธุรกิจต่างล้มเป็นจำนวนมากซึ่งส่วนหนึ่ง เป็นเพราะการบริหารงานที่ขาดจริยธรรมและความโปร่งใส จากนั้นจึงได้มีการรณรงค์ในเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ไม่เพียงเพราะต้องการกลไกที่จะป้องกันธุรกิจหรือองค์การที่ปราศจากความรับผิดชอบต่อกลุ่มผู้เกี่ยวข้องและสาธารณชน แต่ยังเป็นการจัดระบบการบริหารเพื่อให้สอดคล้องกับเงื่อนไขของการประกอบการที่ดีของประเทศทางตะวันตกที่ประเทศไทยจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยตามกระแสของโลกาภิวัตน์

          องค์การธุรกิจในยุคใหม่ต้องบริหารงานโดยคำนึงถึงจริยธรรม รับผิดชอบต่อผู้บริโภคด้วยการผลิตสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ รับผิดชอบต่อพนักงานด้วยการปฏิบัติต่อพนักงานอย่างเป็นธรรม และรับผิดชอบในการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม นอกจากนั้นยังต้องดำเนินกิจการด้วยความโปร่งใสพร้อมจะให้สาธารณชนตรวจสอบเสมอ

          จริยธรรมเข้าไปเกี่ยวข้องกับการดำเนินงานทุกด้านขององค์การ การทำงานภายใต้ระบบทุนนิยมและกระแสเศรษฐกิจใหม่ถ้าไม่คำนึงถึงเรื่องจริยธรรมจะสร้างผลกระทบในทางลบได้อย่างรุนแรงและกว้างขวางมากกว่ายุคใด ๆ 
 
          ในปัจจุบันมีผู้กล่าวถึงความสำคัญของ “จริยธรรม” กันมากขึ้น เนื่องจากปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม ได้แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดถึงความบกพร่อง และความเสื่อมโทรมทางศีลธรรมหรือจริยธรรมของผู้คนโดยทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมเมืองที่มีการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว วัฒนธรรมตะวันตกซึ่งเน้นการสร้างสรรค์ทางวัตถุ และการแสวงหาความสุขสบายให้แก่ชีวิตด้วย การพัฒนาเครื่องมือเครื่องใช้ เครื่องอำนวยความสะดวก และรูปแบบของความบันเทิงในลักษณะต่าง ๆ ได้แพร่กระจายเข้าสู่สังคมเมืองของไทยอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว อิทธิพลของการติดต่อสื่อสารและเทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นสิ่งจูงใจให้ผู้คนในชนบทหลั่งไหลกันอพยพเข้าสู่เมืองหลวงอย่างมากมายและต่อเนื่อง จิตใจของผู้คนที่ยึดเอาประโยชน์ของตนเป็นหลักไม่คำนึงถึงความทุกข์ยากเดือดร้อนของผู้อื่น การช่วยเหลือเกื้อกูลกันของคนไทยลดน้อยลงไปทุกทีและจะเพิ่มพูนปัญหาให้แก่สังคมมากขึ้นทั้งในปัจจุบันและอนาคต

ความหมายของจริยธรรมในทางพระพุทธศาสนา

จริยธรรมนำชีวิต การใช้จริยธรรมนำชีวิต ต้องเริ่มจากการปริยัติคือศึกษาทฤษฎีให้เข้าใจแล้วจึงนำไปปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักการเพื่อผลในขั้นสุดท้ายอันเป็นผลที่น่ายินดีที่เรียกว่า เป็นคนมีจริยธรรม หรือปฏิเวธได้ในที่สุด
การปริยัติเพื่อการปฏิบัติตนให้เป็นผู้มีจริยธรรมควรเริ่มต้นจาก มรรยาทชาวพุทธ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทย เพื่อให้ตนมีจริยธรรมทางกาย ต่อไปก็ต้องทำใจให้บริสุทธ์สะอาดเพื่อการมีจริยธรรมทางใจ โดยการปริยัติ สมถะ วิปัสสนา มงคลชีวิต หลักพุทธธรรมเพื่อชีวิตและสังคม
เมื่อรู้ทฤษฎีในการปฏิบัติตนเพื่อพัฒนาจริยธรรมทางกายและใจแล้วควรได้ทราบว่าจะนำทฤษฎีไปพัฒนาตนอย่างไร โดยศึกษาจากเรื่อง ความสำคัญของพระพุทธศาสนา ในขณะเดียวกันก่อนลงมือปฏิบัติตามอาจเกิดความลังเลสงสัยเกิดขึ้นว่า เมื่อปฏิบัติแล้วจะได้ผลจริงหรือไม่ จึงจำเป็นต้องศึกษาแบบอย่างที่ดี ในเรื่องประวัติและคุณธรรมของพุทธสาวก พุทธสาวิกา และชาวพุทธตัวอย่าง
ประวัติและคุณธรรมดังกล่าวมีมาแต่พุทธกาล ความลังเลสงสัยอาจจะยังคงมีอยู่ว่าในปัจจุบันพระดีๆเป็นแบบอย่างได้ ยังมีอยู่จริงหรือ ก็ให้ศึกษาได้จาก บทบาทของพระสงฆ์ในการพัฒนาสังคม

ถ้าได้ศึกษาไปครบทั้ง 8 เรื่องแล้ว ยังลังเลว่าเรื่องเหล่านี้นำมาจากที่ใด ใครเป็นผู้สอน ให้ศึกษาจาก
พระไตรปิฎก ภาษาบาลี คำศัพท์ในพระพุทธศาสนา และพุทธศาสนสุภาษิต พุทธประวัติและวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาเมื่อปริยัติครบทั้ง 11 เรื่อง มีความเข้าใจ มีจินตมยปัญญา สามารถนำไปปฏิบัติได้ ท่านจะเป็นผู้หนึ่งที่ถูกเรียกว่าชาวพุทธ ซึ่งมีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติเพื่อการคงอยู่ของพระพุทธศาสนา จึงต้องศึกษา หน้าที่ชาวพุทธ ศาสนพิธีและการปกครองคณะสงฆ์ไทย
หลังจากที่ได้มีการปริยัติ และ ปฏิบัติ มรรยาทฃาวพุทธ สมถะ วิปัสสนา มงคลชีวิต หลักพุทธธรรม ฯ หน้าที่ชาวพุทธ จนสุดท้ายศาสนพิธี จริยธรรมก็จะนำชีวิตไปสู่แสงสว่างแห่งความดี เป็นคนที่มีความรู้คู่คุณธรรม อันเป็นจุดมุ่งหมายของการพัฒนาคนตามที่สังคมต้องการ และจะให้สว่างยิ่งขึ้นก็ควรได้ศึกษา คู่มือมนุษย์ ธรรมะจากหลวงตาบัว ธรรมะจากพระอาจารย์ทูล จารึกไว้ในพระศาสนา รวมทั้งศึกษาหาแบบอย่างดีๆในปัจจุบันได้จาก ข่าวเยาวชน ปิดท้ายด้วยนิทานสนุกๆ เรื่อง มิลินทปัญหา และ ทศชาติชาดก

เว็ปไซด์ Moralism จึงเป็นเว็ปไซด์ที่จะนำชีวิตไปสู่ความดีงาม ทั้ง กาย วาจา และ ใจ เป็นผู้มีจริยธรรมในที่สุด รวมทั้งเป็นเว็ปไซด์ที่สามารถสนองตอบพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ 2542 ที่กำหนดให้มีการศึกษาตามอัธยาศัย คือการศึกษาด้วยตนเอง ตามความต้องการ ตามความสนใจ ตลอดเวลา และตลอดชีวิตเว็ปไซด์นี้จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับการศึกษาตามอัธยาสัย
คุณธรรม (อังกฤษ: Virtue) เป็น มุมมองแง่หนึ่งของ จริยธรรม ซึ่งคำนึงถึง สิ่งที่ถูกและผิด โดยมีหลักใหญ่สามประการ ได้แก่ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในแต่ล่ะบุคคล ระบบยุติธรรมซึ่งเกี่ยวข้องกับ วัฒนธรรม ประเพณี ท้องถิ่น ประวัติศาสตร์ทางสังคม และ ธรรมเนียมปฏิบัติ สภาพคุณความดี หรือคุณลักษณะที่แสดงออกของความดี ที่แสดงออกด้วยการปฏิบัติและเป็นที่ประจักษ์แก่คนทั่วไป
องค์ประกอบของจริยธรรมจริยธรรมนั้นถือได้ว่าเป็นเครื่องกำหนดหลักปฏิบัติในการดำรงชีวิต เป็นแนวทาง
ในการอยู่ร่วมกันอย่างสงบเรียบร้อย  ซึ่งในสังคมหรือในทุกองค์กรต้องมีข้อปฏิบัติ ปฏิบัติร่วมกันจึงจะสามารถอยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะได้มีดังนี้
  1. ระเบียบวินัย (Discipline) เป็นสิ่งสำคัญยิ่งที่จะต้องมีในองค์กร ซึ่งถ้าองค์กร
ใดขาดกฎเกณฑ์ หรือระเบียบวินัย ที่จะเป็นแนวปฏิบัติร่วมกันแล้ว โดยแต่ละคน ต่างคนต่างทำอะไร ได้ตามความต้องการ ไม่มีผู้นำ ไม่มีระเบียบแบบแผนให้ยึดถือ ในแนวเดียวกัน ถ้าหาเป็นเช่นนี้จะทำให้เกิดการละเมิดสิทธิ หน้าที่ เกิดความ เดือดร้อน และความไม่สงบในองค์กรจึงอาจทำให้องค์กรไม่สามารถประสบความ สำเร็จตามเป้าหมายขององค์การได้ ดังนั้นองค์กรทุกองค์กรต้องมีระเบียบวินัย
  2. สังคม  (Society)   เป็นการรวมกลุ่มกัน ประกอบกิจกรรมอย่างมีระเบียบ
แบบแผนจะก่อให้เกิด ความเรียบร้อย ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงามซึ่งการ รวมกลุ่ม กันประกอบกิจกรรมในด้านธุรกิจนั้น หากทุกองค์กร สามารถที่จะ ให้ ความ ร่วมมือ ให้เกิดการพัฒนาสังคมหรือตอบแทนคืนให้สังคมโดยไม่เห็นแก่ ่่ประโยชน์ ส่วนตน จะทำให้สังคมเกิดสิ่งดี ๆ เช่น เกิดเหตุการณ์ คลื่นยักษ์สึนามิที่ภาคใต้ จะเห็นได้ว่าหน่วยต่าง ๆ ไม่ว่าภาครัฐหรือเอกชน หรือแม้กระทั่งคนไทยทั้งประเทศ ได้ร่วมกันสร้างสรรค์สังคม ด้วยการบริจาคทั้ง ทุนทรัพย์ และกำลังเท่าที่ สามารถช่วย ได้ในการทำกิจกรรมให้การช่วยเหลือใน รูปแบบต่าง ๆซึ่งจะเห็นได้จากกิจกรรม ทางสังคมนี้ ที่จะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า สังคมไทย นั้น เป็นสังคมที่เปี่ยมด้วย น้ำใจที่ ี่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง
  3. อิสระเสรี  (Autonomy)   โดยทั่วไปแล้ว บุคคลผู้สำนึกในมโนธรรมและมี
ประสบการณ์ชีวิต ย่อมจะเป็นบุคคลที่ความสุข ที่จะอยู่ในระเบียบวินัย สำหรับ คนไทยไทยนั้นค่านิยม ยังหมายรวมถึง อิสระ เสรีภาพ ซึ่งเมื่อได้รับการขัดเกลาแล้ว สามารถปกครองตนเองให้อยู่ในทำนองคลองธรรมได้ ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้ คณะกรรมการ โครงการศึกษาจริยธรรม ได้ทำการกำหนดจริยธรรมที่ควรปลูกฝัง
แก่คนไทยไว้  8  ประการดังนี้
 1. การใฝ่สัจจะ คือ การยึดถือความจริง ศรัทธาในสิ่งที่มีหลักฐานข้อมูลรองรับ
ที่สามารถพิสูจน์ ตรวจสอบได้ แสวงหาความรู้ ความจริงได้
  2. การใช้ปัญญาในการแก้ไขปัญหา คือ การใช้กระบวนการค้นหาความรู้
ความจริงเป็นทางออกอย่างมีเหตุผลที่เหมาะสม เพื่อแก้ปัญหาหรือจัดอุปสรรค์ข้อ ยุ่งยาก ต่าง ๆ ที่เผชิญอยู่
  3. เมตตากรุณา คือ การเสียสละเอื้อเฟื้อช่วยเหลือผู้อื่น โดยการเสียสละนั้นไม่
ก่อให้เกิดเดือนร้อนต่อตนเอง แต่ช่วยให้ผู้อื่นได้พ้นจากความทุกข์กังวล

  4. สติ- สัมปชัญญะ คือ การที่บุคคลนั้นมีความรู้ตนเองอยู่เสมอว่า ตนกำลัง

ทำอะไรอยู่  และสามารถที่จะเตือนตนเองให้สามารถตัดสินใจที่แสดงออกมาทางด้าน การประพฤติ ปฏิบัติในทางที่ถูกต้องที่ด้วยสติ

  5. ไม่ประมาท คือ การที่จะกระทำอะไรก็ตาม จะต้องมีการวางแผน เพื่อเตรียม
เตรียมพร้อม โดยต้องมีการคาดการณ์ เพื่อรับผลที่ตามมาของการกระทำใด ๆ ของตนเองอยู่อย่างสม่ำเสมอจนเกิดเป็นนิสัย
  6. ซื่อสัตย์สุจริต คือ การมีจิตใจและการปฏิบัติตนที่ตรงต่อความเจริญความ
ถูกต้อง ความดีงาม  ตรงต่อหน้าที่ความรับผิดชอบ  ตรงตามระเบียบแบบแผนและ กฎเกณฑ์ต่อคำมั่นสัญญา ซึ่งหากปฏิบัติแบบนี้แล้ว จะก่อให้เกิดการยอมรับในที่อยู่ ร่วมกันในสังคมได้
  7. ขยัน – หมั่นเพียร คือ การมีความพอใจต่อหน้าที่การงานของตนที่ได้
รับผิดชอบ จนสิ้นสุดกระบวนการในการทำงาน
  8. หิริ – โอตตัปปะ คือ การละอาย และแกรงกลัวต่อการประพฤติชั่ว การผิด
ศีลธรรมต่อมาได้มีการเพิ่มคุณลักษณะจริยธรรมไทย 11 ประการ คือ
   
  1. การมีเหตุผล    2. ความซื่อสัตย์    3. ความรับผิดชอบ   
  4. ความเสียสละ   5.    ความสามัคคี     6. ความกตัญญูกตเวที
  7. การรักษาระเบียบวินัย   8.    การประหยัด   9. ความยุติธรรม  
  10. ความอุตสาหะ  11. ความเมตตากรุณา 
  
ประเภทของจริยธรรม    
  จากการศึกษาเราสามารถสรุปประเภทของจริยธรรมได้  2 ระดับคือ

  1. จริยธรรมภายใน เป็นสิ่งที่อยู่ภายในอาจจะไม่แสดงออกซึ่งเป็นจริยธรรม
ที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกนึกคิด เจตคติ  ของบุคคล และสภาวะของจิตใจของแต่ละ บุคคล และบุคคล เช่น ความปราศจากอคติ ความยุติธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต ความกตัญญูกตเวที มีความเมตตากรุณาเป็นต้น
  2.  จริยธรรมภายนอก คือ พฤติกรรมภายนอกที่บุคคลแสดงออกมาซึ่งสามารถ
สังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่ามีความซื่อตรง มีสัจจวาจา มีระเบียบวินัย รับผิดชอบ เอาใจใส่ต่อหน้าที่การงาน มีความขยันหมั่นเพียร ความประณีต สุภาพอ่อนน้อม ให้ความช่วยเหลือ เอื้ออาทร เคารพกฎกติกา มีมารยาท เป็นต้น
คุณลักษณะอันพึงประสงค์ของจริยธรรม 
   
  คุณลักษณะของจริยธรรมนั้น เป็นสิ่งที่จะบ่งบอกได้ว่า “จริยธรรม” นั้น มี 
บทบาทต่อบุคคลในลักษณะใดบ้าง และส่งผลต่อบุคคลในการประพฤติปฏิบัติตน ในการ ดำรงชีวิต ทั้งในด้านการทำงานและ ความเป็นอยู่ในแต่ละสังคม คุณลักษณะโดยทั่วไปของจริยธรรม เมื่อพิจารณาแล้วเราสมารถแบ่งได้ดังนี้ 
 
  1. ความรับผิดชอบ หมายถึง การบุคคลนั้น สามารถที่จะปฏิบัติหน้าที่ด้วย
ความผูกพัน ด้วยความเพียร ละเอียดรอบคอบยอมรับผลของการกระทำ ในการ ปฏิบัติหน้าที่ เพื่อให้บรรลุ ตามมุ่งหมาย มีพยายามปรับปรุงการทำงาน ของตน ให้ดียิ่ง ๆ ขึ้น และพร้อมที่จะสร้างสรรค์งานใหม่ อยู่ตลอดเวลา เป็นต้น
  2. ความซื่อสัตย์  หมายถึง การประพฤติปฏิบัติตนของบุคคลอย่างเหมาะสม
ตรงต่อความเป็นจริง  ตรงไปตรงมา  ทั้งกาย วาจา ใจ ต่อตนเองและผู้อื่น หาก ทำงานอยู่ในองค์กรต้องมีความซื่อสัตย์ต่อนายจ้าง  ต่อลูกจ้าง ต่อองค์กร ต่อสังคม และต่อประเทศชาติ เป็นต้น 
  3.  ความมีเหตุผล  หมายถึง  ความสามารถในการใช้ปัญญา  รู้จักไตร่ตรอง
พิสูจน์ให้ประจักษ์ ไม่หลง งมงาย มีความยับยั้งชั่งใจ  โดยไม่ผูกพันกับอารมณ์และ
ความยืดมั่นของตนเอง ที่มีอยู่เดิมซึ่งอาจจะผิดได้  ไม่เชื่อง่าย  หูเบา รู้จักใช้เหตุผล
ในกานพิจารณาเรื่องราวที่รับรู้ เป็นต้น 
  4.  ความกตัญญูกตเวที  หมายถึง  การที่บุคคลนั้นมีจิตใจและการประพฤติ  
ที่รู้สำนึกในอุปการคุณของผู้มีพระคูณแล้วแสดงออกตอบแทนต่อมีพระคุณอย่าง บริสุทธิ์ใจ มิใช่เป็นการกระทำเฉพาะหน้าที่ที่ต้องกระทำ แต่ควรเป็นการกระทำ ที่ แสกงออกมาซึ่งความ เต็มใจอย่างแท้จริง   เป็นต้น  
  5.  การรักษาระเบียบวินัย  หมายถึง  แนวปฏิบัติในการที่จะควบคุมความ
ประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง  เหมาะสมกับ  จรรยาบรรณ ข้อบังคับ  ข้อตกลง กฎหมาย  และศิลธรรม ซึ่งในองค์กรทุกองค์กร เพื่อเป็นข้อตกลงร่วมกัน ทั้งต้องเป็น แนวปฏิบัติร่วมกันตลอดจนในสังคัมจะต้องมี  เพื่อให้เกิดความสันติสุขในสังคม  เป็นต้น
  6.  ความสามัคคี  หมายถึง การเตรียมความพร้อมเพรียม เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
ร่วมมือกันกระทำกิจกรรม  หรือกิจกรรมต่างๆ  ให้ได้สำเร็จลุล่วงด้วยดี  เห็นแก่ ประโยชน์ส่วนร่วมมากกว่าส่วนตัว  ซึ่งยัง หมายถึงการที่จะต้องรู้ถึงการปรับตนเอง ให้เข้ากับผู้อื่นได้ดี  รับผิดชอบในหน้าที่ ตลอดจนการมีความรักในหมู่คณะ เป็นต้น
  7.  ความยุติธรรม  หมายถึง  การมีจิตใจที่ความเที่ยงตรง  ซึ่งความเที่ยงตรงนี้
จะต้องสอดคล้องกับความจริง  ไม่ลำเอียง  หรือมีการปกปิด  ซึ่งหากบุคคลมีความ ยุติธรรม ประจำตนแล้วนั้น  ปัญหาต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในทางที่ไม่ดี  จะเกิดขึ้นน้อยมาก
  8.  ความเสียสละ  หมายถึง  การที่บุคคลนั้นละแล้วซึ่งความเห็นแก่ตัว  รู้จัก
สลัดอารมณ์ร้ายในตัวเองทิ้ง  การมีน้ำใจและแบ่งปันให้กับบุคคลอื่น การให้ความ ช่วยเหลือด้วยกำลังทรัพย์   กำลงกาย  กำลังสติปัญญา  เป็นต้น
  9.  การประหยัด  หมายถึง  การที่บุคคลนั้นไม่ฟุ้งเฟ้อ  ฟุ่มเฟือย  รู้จักยับยั้ง
ความต้องการให้อยู่ในขอบเขต  มีความพอดี  ใช้สิ่งของทั้งหลาย อย่างพอเหมาะ พอควร ใช้ให้ได้ ประโยชน์มากที่สุด  รู้จักระมัคระวัง  ไม่ให้มีส่วนเกินเหลือทิ้ง เป็นต้น
  10. ความเมตตากรุณา  หมายถึง  การที่บุคลมีความรักใคร่ปอง  ดองกัน  มี
ความปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข  โดยไม่หวังสิ่งใด ๆ  ตอบแทน  ซึ่งมีจุดหมายที่จะ ให้บุคคลดังกล่าวให้พ้นทุกข์  เป็นต้น
  11.  ความอุตสาหะ  หมายถึง  การที่บุคคลมีความพยายามอย่างเข็มแข็งในการ
รทที่จะมุ่งมั่นในการทำงานหรือทำกิจกรรม ใด ๆ   ให้สำเร็จดังที่ตั้งเป้าหมายไว้  เพื่อให้เกิดความสำเร็จ ในการทำงานและตรงตามเวลาที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้  เป็นต้น
 http://pdc.ac.th/chinawat/CAI51/A.kanitta/unit1_4.html


นางสาววิลิน   แก้วสระแสน  เลขที่ 39
นางสาวสุภาวดี  ศรีบุญเรือง  เลขที่ 26
นางสาวอรทัย   ยาวะระ         เลขที่ 28